“แซมบ้า” ฉลองลงเตะนัดที่ 100 ในบอลโลก ตีตั๋วเข้ารอบดวล “ชิลี”  ขณะที่ “ฟ้าขาว” ลุ้นแชมป์กลุ่มดวล “ไนจีเรีย”

            ทีมชาติบราซิล คว้าแชมป์กลุ่ม เอ มาครองได้สำเร็จ หลังจากเอาชนะ “หมอผี” ทีมชาติแคเมอรูน ไปได้สวยงาม 4-1 จากการยิงสองเม็ดของ เนย์มาร์ หัวหอกตัวเก่ง ทำให้ทีมฉลองการลงเล่นฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ครบ 100 นัด และยิงไป 217 ประตู พร้อมกับตีตั๋วเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้าย เข้าไปดวลกับ ทีมชาติชิลี เพื่อนร่วมถิ่นลาตินอเมริกา ที่ได้อันดับ 2 กลุ่ม บี ในวันเสาร์ที่ 28 มิถุนายนนี้

            ขณะที่ “ฟลายอิ้งดัทช์แมน” ทีมชาติเนเธอร์แลนด์ คว้าแชมป์กลุ่ม บี ด้วยการเอาชนะ ทีมชาติชิลี 2-0 ทำสถิติชนะรวด 3 นัด เข้าไปดวลกับ “จังโก้” ทีมชาติเม็กซิโก ที่ได้อันดับ 2 กลุ่ม เอ หลังจากเกมล่าสุดไล่ยำ ทีมชาติโครเอเชีย ขาดลอย 3-1 ในวันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายนนี้

            ขณะที่การแข่งขันวันพุธนี้ เป็นการแข่งขัน รอบแรก นัดสุดท้าย กลุ่ม อี และเอฟ โดยเริ่มเวลา 23.00 น. 2 คู่ และ 03.00 น.อีก 2 คู่

            โดยเวลา 23.00 น.เป็นการแข่งขันกลุ่ม เอฟ “ฟ้าขาว” อาร์เจนติน่า จ่าฝูงที่มี 6 คะแนน ผ่านเข้ารอบไปเรียบร้อย ดวลกับ “อินทรีมรกต” ทีมชาติไนจีเรีย ที่มี 4 คะแนน โดยใครชนะจะได้เป็นแชมป์กลุ่มทันที

            นัดนี้ “ฟ้าขาว” ยังคงจัดทัพใหญ่ลงเล่นเต็มอัตราศึก หลังจากเก็บชัยนัดสำคัญในช่วงทดเจ็บเหนือ อิหร่าน 1-0  ลีโอเนล เมสซี่ ยังเป็นตัวสำคัญในการล่าตาข่าย หลังจากซัดไปแล้ว 2 ประตู แต่อาจจะดร็อป เซร์คิโอ อเกวโร่ และกอนซาโล่ อิกวาอิน ที่เล่นไม่เป็นชิ้นเป็นอันในเกมที่แล้วไปเป็นตัวสำรองแล้วให้ โรดริโก้ ปาลาซิโอ กับ อเซเกล ลาเวซซี่ ลงเล่นในแดนหน้าแทน

            ขณะที่ ไนจีเรีย ที่ต้องการชัยชนะเพื่อเป็นแชมป์กลุ่ม หรืออย่างน้อยเสมอก็จะเข้ารอบทันที ซึ่งทีมต้องรอทดสอบความฟิตของ ก็อดฟรี่ย์ โอโบอาโบน่า ปราการหลังคนสำคัญที่ยังเจ็บข้อเท้า จนพลาดการลงเล่นเกมกับ บอสเนีย ถ้าลงไม่ได้ โจเซป โยโบ จอมเก๋าจะได้ลงเล่นต่อไป นอกจากนั้นไม่มีปัญหา เกมรุกให้ อาเหม็ด มูซ่า เดินเกมร่วมกับ ปีเตอร์ โอเด็มวิงกี้ และมิเชล บาบาตุนเด้ โดยมี เอ็มมานูเอล อเมนิเก้ ปักหลักเป็นหัวหอก

            คู่นี้เจอกันมา 6 นัด อาร์เจนติน่า เหนือกว่าด้วยการชนะ 4 เสมอ 1 ไนจีเรีย ชนะ 1 และเป็นการพบกันในบอลโลก 3 นัด “ฟ้าขาว” ชนะได้ทั้งหมด เริ่มจากชนะ 2-1 ปี 1994, ชนะ 1-0 ปี 2002 และชนะ 1-0 เมื่อ 4 ปีที่แล้ว

            อีกคู่ในกลุ่มเดียวกัน “โคไมนี่” ทีมชาติอิหร่าน ที่ยังแอบหวังเข้ารอบ แม้จะมี 1 แต้ม พบกับ ทีมชาติบอสเนีย ที่แพ้รวด 2 นัดตกรอบสบายไปแล้ว ซึ่ง อิหร่าน หากชนะแล้ว ไนจีเรีย แพ้ จะได้วัดประตูได้เสียกันทันที

            เกมนี้ คาร์ลอส เคยรอซ กุนซือโปรตุกีสของอิหร่าน เลือกนักเตะชุดเดิมลงเล่น จาวัด เนคูนาม กัปตันทีม เล่นกลางรับร่วมตัดเกมกับ อันดรานิค เตมูเรี่ยน โดยให้ เมซุด โชจาอี้ เดินเกมริมเส้นกับ อัสห์คาน เดยากาห์ และวาง เอห์ซาน ฮาจซาฟี่ เป็นหน้าต่ำ เรซ่า กูชาเนจ์ฮัด เป็นหน้าเป้า

            ส่วน บอสเนีย ที่ไม่มีลุ้นอะไรแล้ว ปรับระบบการเล่นอีกครั้ง โดยเน้นแผงกลางเป็นหลัก โดยให้ เซนาด ลูลิซ ลงเดินเกมรุกกับ ไอเซ็ต ฮาจโรวิซ พร้อมกับวาง เอดิน เชโก้ เป็นกองหน้า

            คู่นี้เจอกันมา 5 นัด ปรากฏว่า อิหร่าน ดีกว่าอย่างเหลือเชื่อ ด้วยการชนะได้ถึง 4 นัด และเสมอ 1 ยังไม่เคยแพ้แม้แต่เกมเดียว

ทางด้านการดวลแข้งเวลา 03:00 น. กลุ่ม อี “ไก่ทองคำ” ทีมชาติฝรั่งเศส ที่มี 6 คะแนน พบกับ ทีมชาติเอกวาดอร์ ที่มี 3 คะแนนยังมีลุ้นเข้ารอบ

ฝรั่งเศส ที่เข้ารอบต่อไปแทบจะแบเบอร์ ต้องการคะแนนเดียวเพื่อการันตีแชมป์กลุ่ม ส่อแววปรับทัพลงสนาม เพื่อรักษาความสด โดยกลุ่มนักเตะอย่าง โลอิค เรมี่, ม็อกก็อง ชเนแดร์กแลง และอองตวน กริซ์มันน์ จะได้ลงเล่นนัดนี้ แต่ พอล ป็อกบา ยังจะได้ลงเล่น แต่ที่พลาดแน่นอนคือ โยอัน กาบาย ที่ติดโทษแบน และมามาดู ซาโก้ ที่บาดเจ็บเล็กน้อย แต่ ดีดิเยร์ เดส์ชองป์ส จะให้พัก

ทางฝั่ง เอกวาดอร์ ที่ยังมีลุ้นอย่างเต็มตัว หวังการถล่มประตูของ เอ็นนอร์ วาเลนเซีย ที่กำลังเข้าฟอร์มซัดไปแล้ว 3 ประตู เป็นกองหน้าคู่กับ เฟลิปเป้ ไคเซโด้ โดยแผงกลางนั้น คริสเตียน นอบัว ที่ฟอร์มดี จะเดินเกมกับ อันโตนิโอ วาเลนเซีย และเจฟเฟอร์สัน มอนเตโร่ สำหรับคู่นี้เจอกันครั้งเดียว เมื่อปี 2008 เกมอุ่นแข้งที่เมืองเกรอน็อบล์ ปรากฏว่า ฝรั่งเศส ชนะไป 2-0

อีกเกม ทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ ที่มี 3 คะแนน พบกับ ทีมชาติฮอนดูรัส ที่แพ้รวดตกรอบไปแล้ว ซึ่ง สวิส ต้องการแค่ผลเสมอ แล้วให้ เอกวาดอร์ แพ้ก็จะเข้ารอบทันที

นัดนี้ สวิส ทดสอบความฟิตของ สตีฟ ฟอน เบอร์เก้น ปราการหลังคนสำคัญ หากลงไม่ได้ต้องจำใจให้ ฟิลิปป์ เซนเดรอส ยืนเซ็นเตอร์คู่กับ โยอันน์ ฌูรู ซึ่งคู่หูนรกแตกคู่นี้ลงเล่นเกมก่อนโดนถลุงเละถึง 5 เม็ด ขณะที่เกมแดนกลาง ก็อคคาน อินแลร์ ทำเกมกับ กรานิต ชาก้า และเซอร์ดาน ชากิรี่ โดยวาง โจซิป เดอร์มิซ

ทางฝั่ง ฮอนดูรัส ที่เล่นเพื่อศักดิ์ศรีนัดนี้จะได้ วิลสัน ปาลาซิออส กองกลางตัวเก๋าพ้นแบนกลับมาเล่นมิฟิลด์อีกครั้ง และจะส่ง ฮวน คาร์ลอส การ์เซีย ลงเล่นแบ๊คซ้ายแทน เอมิลิโอ อิซากีเร่ร์ ส่วนเกมรุก คาร์ดล คอสท์ลี่ย์ ยืนหอกคู่กับ เจอร์รี่ เบงต์สัน

คู่นี้พบกันครั้งเดียว และเป็นการพบกันรอบแรก นัดสุดท้าย บอลโลก เมื่อ 4 ปีก่อน ปรากกว่า ฮอนดูรัส ที่ตกรอบไปแล้ว ยันเสมอ 0-0 พร้อมเกี่ยวก้อย สวิส ต้องตกรอบตามไปด้วยอย่างเจ็บปวด