การแข่งขันฟุตบอล ลา ลีกา สเปน วันเสาร์นี้ เกมบิ๊กแมทช์ที่ทั่วโลกจับตามองเป็นเกม “เอล กลาซิโก้” หรือดาร์บี้แมทช์ แห่งสเปน ระหว่าง “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด กับ “เจ้าบุญทุ่ม” บาร์เซโลน่า ที่สนามซานดิอาโก้ เบอร์นาบิว เวลา 23.00 น.

นัดนี้เจ้าบ้านไม่มี แกเร็ธ เบล นักเตะค่าตัวแพงที่สุดในโลก 85.3 ล้านปอนด์ ที่เจ็บตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว รวมไปถึง เซร์คิโอ รามอส ปราการหลังคนสำคัญตัวทีมชาติสเปน และ ฟาบิโอ โคเอนเทรา แบ๊กซ้ายทีมชาติ โปรตุเกส โดย คาร์โล อันเชล็อตติ กุนซือจะให้ ราฟาแอล วาราน ยืนเซ็นเตอร์ฮาล์ฟกับ เปเป้ ต่อไป ขยับที่แดนกลาง โทนี่ โครส เดินเกมกับ ฮาเมส โรดริเกวซ ส่วนแนวรุกคือ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ กับ คาริม เบนเซม่า

ทางฝั่ง บาร์ซ่า นัดนี้จะได้ หลุยส์ ซัวเรซ หัวหอก ทีมชาติอุรุกวัย ค่าตัวแพงสุดอันดับ 3 ของโลก 75 ล้านปอนด์ ลงเล่นนัดแรกนับตั้งแต่ย้ายมาเพราะติดโทษแบนกรณีไปกัดแขนของ จอร์โจ้ คิเอลลินี่ ในเกมฟุตบอลโลก โดย ซัวเรซ จะประสานแนวรุกร่วมกับ ลีโอเนล เมสซี่ ซูเปอร์สตาร์ ชาวอาร์เจนตินา และเนย์มาร์ กัปตันทีมชาติบราซิล นอกจากนั้นไม่มีปัญหายกเว้น โธมัส แฟร์มาเล่น กับ ดักลาส ที่รอเช็คฟิต

สถิตเฮด ทู เฮด ระหว่าง “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด กับ “เจ้าบุญทุ่ม” บาร์เซโลน่า เจอกันมาทั้งหมดในทุกรายการ 260 นัด ปรากฏว่า บาร์เซโลน่า สถิติดีกว่า ด้วยการชนะ 107 นัด เสมอ 58 เรอัล มาดริด ชนะ 95 โดย บาร์ซ่า ยิงได้ 451 ประตู เรอัล มาดริด ยิงได้ 107 ประตู แต่ถ้านับเฉพาะการเตะในลีก “ลา ลีกา” เจอกัน 168 นัด เรอัล มาดริด มีสถิติที่ดีกว่าด้วยการชนะ 70 นัด เสมอ 32 บาร์เซโลน่า ชนะ 66 โดย มาดริด ยิงได้ 274 ส่วน บาร์ซ่า ยิงได้ 265

ส่วนการพบกันนับเฉพาะที่สนามซานดิอาโก้ เบอร์นาบิว ทุกรายการ ปรากฏว่า เรอัล มาดริด ชนะ 65 เสมอ 25 บาร์ซ่า ชนะ 25

ทางด้านศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ วันเสาร์นี้มี 6 คู่ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แชมป์เก่า จะยกพลบุกไปเยือนถิ่นอัพตัน พาร์ค ของ “ขุนค้อน” เวสต์แฮม ยูไนเต็ด เวลา 18.45 น. เกมนี้ แมนฯซิตี้ ไม่มี แฟรงค์ แลมพาร์ด กองกลางจอมเก๋า ที่บาดเจ็บจากนัดที่แล้ว เช่นเดียวกันกับ ซามีร์ นาสรี่ กองกลางฝรั่งเศส ที่ไม่ได้เล่นมาแล้วหลายเกมเนื่องจากเจ็บ ทำให้ เฆซุส นาบาส ได้เบียดกับ เจมส์ มิลเนอร์ เพื่อลงทำเกมริมเส้น นอกนั้นตัวหลักรายอื่นๆ ลงแน่ ทั้ง ยายา ตูเร่ ที่จะกลับมาเป็นตัวจริงหลังจากลงสำรองในเกมก่อน, ดาบิด ซิลบา และคู่หน้าเป็น เซร์คิโอ อเกวโร่ ที่ซัดไป 4 เม็ด กับ เอดิน เชโก้

ทางฝั่ง “ขุนค้อน” ได้ตัว เจมส์ ทอมกินส์ กองหลังตัวแกร่งหายเจ็บกลับมาลงตัวจริงอีกครั้ง โดยมีลุ้นได้ยืนกับ เจมส์ คอลลินส์ ที่ต้องรอทดสอบความฟิต หากลงไม่ได้ วินสตัน รีด จะได้ลงเล่นแทน ขณะที่ เมาโร่ ซาราเต้ ที่เจ็บต้องรอดูอาการพร้อมกับ กีย์ เดเมล โดยกองหน้านั้น เอ็นนอร์ วาเลนเซีย เล่นกับ ดิอาฟรา ซาโก้ สำหรับคู่นี้สถิติ แมนฯซิตี้ ดีกว่าด้วยการชนะ 47 เสมอ 16 เวสต์แฮม ชนะ 35 โดย 10 เกมหลังซิตี้ไม่เคยแพ้

ทางด้าน “ปืนใหญ่” อาร์เซนอล จะยกพลบุกไปเยือน “แบล็คแคทส์” ซันเดอร์แลนด์ โดยทั้งสองทีมประสบปัญหานักเตะบาดเจ็บเพียบ เริ่มจากเจ้าถิ่นที่เพิ่งโดน เซาแธมป์ตัน ยิงเละแพ้ถึง 0-8 ไม่มี ริคาร์โด้ อัลวาเรซ, เอ็มมานูเอเล่ จั๊คเครินี่, เซบาสเตียน โกอาเตส และบิลลี่ โจนส์ แต่จะได้ แจ๊ค ร็อดเวลล์ กับ อดัม จอห์นสัน กลับมาเล่นอีกครั้ง โดยหน้าเป้าเป็น สตีเว่น เฟล็ทเชอร์

เจอกับ “ปืนใหญ่” ที่รอเช็คฟิตของ ธีโอ วัลค็อตต์ กับ เซร์กี้ กานาบี้ แต่ไม่มีแน่นอนคือ ดาบิด ออสปีน่า, โลรองต์ กอสซิแอลนี่, โอลิวิเยร์ ชิรูด์, มาติเยอ เดบูชี่, ยาย่า ซาโนโก้ และเมซุต โอซิล ที่เจ็บทั้งหมด รวมถึงแจ๊ค วิลเชียร์ ที่ติดแบน ยังดีที่ได้ คัลลั่ม แชมเบอร์ พ้นแบนกลับมาช่วยเกมรับ และมี วอยเช็ค เชสนี่ย์ เฝ้าเสา

อีกคู่ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ที่เพิ่งแพ้ยับคาบ้านในเกมยุโรป จะได้เล่นในแอนฟิลด์อีกครั้ง เจอกับ ฮัลล์ ซิตี้ ซึ่งทีมยังไม่มี มามาดู ซาโก้, จอน ฟลานาแกน และแดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ ที่เจ็บอยู่ทั้งหมด รวมไปถึง มาริโอ บาโลเตลลี่ อาจถูกดร็อปหลังจากมีปัญหาส่วนตัวที่แลกเสื้อกับคู่แข่งระหว่างพักครึ่งในเกมแพ้ เรอัล มาดริด ส่วน ฮัลล์ มาเยือน ด้วยการขาด สตีฟ ฮาร์เปอร์, นิกิซ่า เยเลวิซ, ไมเคิล ดอว์สัน, อัลลัน แม็คเกรเกอร์ และโรเบิร์ต สน็อดกราสส์ แถมตำแหน่งนายประตูต้องใช้ เอลดิน ยาคูโปวิซ ซึ่งเป็นมือ 3 เฝ้าเสา และแนวรับ อเล็กซ์ บรู๊ซ ลูกชายกุนซือ สตีฟ บรู๊ซ ได้ลงแทน ดอว์สัน