ผลลำไยสดเป็นผลไม้ที่มีอายุการเก็บรักษาสั้นมาก เนื่องจากเกิดการเน่าเสียจากการเข้าทำลายของเชื้อจุลินทรีย์และการเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลของเปลือก เกิดจากเอนไซม์โพลีฟีนอลออกซิเดส (Polyphenol oxidase; PPO) เปลี่ยนโมเลกุลของฟีนอลไปเป็นควิโนน และรวมตัวกันเป็นโมเลกุลใหญ่ขึ้นมีสีน้ำตาล (จริงแท้, 2546) นอกจากนี้การสูญเสียน้ำหลังการเก็บเกี่ยวเป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดการเสียหายต่อผลิตผลขณะเก็บรักษา (สายชล,2528) โดยมีผลต่อการสูญเสียน้ำหนักและคุณภาพของลำไยสด
การเกิดสีน้ำตาล
การเกิดสีน้ำตาลเกี่ยวข้องกับเอนไซม์คือ ปฏิกิริยาการเกิดสีน้ำตาล (browning reaction) ชนิดหนึ่งซึ่งมักพบในอาหารโดยเฉพาะผัก ผลไม้ และอาหารทะเล โดยเกิดขึ้นบริเวณผิวหน้าของอาหารเมื่อสัมผัสกับอากาศ
การเกิดสีน้ำตาลจะเกิดขึ้นได้โดยมีองค์ประกอบที่สำคัญคือ
1.สารตั้งต้นคือ สารฟีนอล เช่น แคทมีซิน ซึ่งเป็นสารฟลาโวนอยด์ ที่พบมากในใบชา ไทโรซิน ซึ่งเป็นกรดอะมิโน อาหารทะเล แทนนินที่พบในผัก ผลไม้ เป็นต้น
2.เอนไซม์ในกลุ่มฟีนอเลส เช่น polyphenol oxidase (PPO) เป็นต้วเร่งปฏิกิริยา pH ที่เหมาะสมในการทำงานของเอนไซม์ฟีนอเลส อยู่ระหว่าง 5-7
3.ออกซิเจน
ปฏิกิริยาการเกิดสีน้ำตาลที่เกี่ยวกับเอนไซม์นี้เป็นปฏิกิริยาออกซิเดชั่น จะเกิดขึ้นเมื่อเซลล์ของสิ่งมีชีวิตเกิดการช้ำ ฉีด ขาด เมื่อถูกกระแทก บด หั่น สับทำให้เอนไซม์สารที่ทำปฏิกิริยา (substrate) และออกซิเจนสัมผัสกับสาร monophenol (ไม่มีสี) จะถูกออกซิไดซ์เป็นไดฟีนอล (diphenol) ซึ่งไม่มีสีและถูกออกซิไดซ์ต่อเป็น o-quinone ซึ่งมีสีน้ำตาล และจะรวมตัวกันเป็นโพลิเมอร์เกิดเป็นสารโมเลกุลใหญ่มีสีน้ำตาล เช่น เมลานิน(melanin)
การป้องกันการเกิดสีน้ำตาลของลำไยสด
หลักการคือ การใช้สารรีดิวส์ซิงเอเจนท์ (reducing agent) เพื่อรีดิวส์ O-quinone กลับเป็นสารฟีนอลซึ่งไม่มีสีรีดิวส์ซิงเอเจนท์ที่ใช้ ได้แก่ สารซัลไฟท์ (sulfites) เช่น การรมด้วยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ หรือแช่ในสารละลาย
โซเดียมเมตตาไบซัลไฟท์ (Sodium metabisulphite)
ซัลเฟอร์ไดออกไซด์มีสูตรโมเลกุลคือ SO2 เป็นออกไซด์ของกำมะถัน ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์เป็นก๊าซที่ไม่มีสี ไม่ไวไฟ เมื่อทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศจะเกิดเป็นซัลเฟอร์ไตรออกไซด์ และจะรวมตัวกับน้ำเป็นกรดซัลฟุริก (H2SO4) หรือกรดกัมมะถัน
การใช้ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในอาหาร
Sulfur dioxide ใช้เป็นวัตถุเจือปนอาหาร (food additive) อยู่ในกลุ่มซัลไฟต์ (sulftes) ซึ่งมีหน้าที่ยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ทั้งแบคทีเรีย ยีสต์ เชื้อรา และเป็นสารฟอกสี
ปริมาณการใช้ในอาหาร
การใช้ซัลเฟอร์ไดออกไซด์เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ แต่ต้องไม่เกิดเกณฑ์มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด
1.ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 214 (พ.ศ.2543) กำหนดให้มีปริมาณซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในเครื่องดื่มในภาชนะบรรจุปิดสนิทได้ไม่เกิน 70 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
2.มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมไวน์ มอก.2089-2544 ได้กำหนดให้มีปริมาณซัลเฟอร์ไดออกไซด์ไม่เกิน 300 มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เดซิเมตร เป็นต้น
สำหรับองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้กำหนดค่าความปลอดภัยของการบริโภคคือ ปริมาณที่ได้รับไม่เกิน 0.7 มิลลิกรัม/คน/วัน
สรวิศ แจ่มจำรูญ
ฝ่ายเทคโนโลยีการเกษตร
สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี