สวีเดน ผ่านเข้ารอบเป็นทีมสุดท้าย พร้อมกับทำให้ เดนมาร์ก แชมป์ปี’92 ต้องนอนอยู่บ้าน

ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือที่ทุกคนรู้จักกันในชื่อว่า “ยูโร 2016”

คือการแข่งขันชิงเจ้ายุโรป ครั้งที่ 15 และเป็นหนแรกที่มีการคัดเลือกเอาทีมมาเล่นรอบสุดท้ายมากที่สุดถึง 24 ประเทศ

กลายเป็นว่า เมื่อได้ทุกชาติครบแล้วนั้น ปรากฏว่านาทีนี้ ในส่วนของเจ้าภาพถือว่าเริ่มไม่เสถียร เนื่องจากว่า มีเหตุการณ์ก่อการร้ายที่กรุงปารีส ไปเมื่อศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

ชีวิตต้องดำเนินต่อไป ฟุตบอลรายการใหญ่ที่จะมีขึ้นที่แดนน้ำหอม ตั้งแต่ 10 มิถุนายนนี้ เชื่อว่าท้ายที่สุดก็น่าจะไม่มีปัญหา

ให้มันรู้ไปว่าไอ้พวกผู้ก่อการร้าย มันจะเหนือกว่า ผู้ก่อการดี

ฮังการี ผงาดเข้ารอบรายการสำคัญเป็นหนแรกนับตั้งแต่ปี 1986

ซึ่งการจัดทีมวาง สำหรับการจับสลากแบ่งสาย ในวันที่ 12 ธันวาคมนี้ เรียบร้อยแล้ว ตามค่าสัมประสิทธิ์ของ สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) ยกเว้น เจ้าภาพ ที่ถือเป็น”ไฟท์บังคับ” ให้อยู่กลุ่ม A ประกอบด้วย

โถ 1 : สเปน (แชมป์เก่า), เยอรมนี, อังกฤษ, โปรตุเกส, เบลเยียม และฝรั่งเศส(เจ้าภาพ)

โถ 2 : อิตาลี, รัสเซีย, สวิตเซอร์แลนด์, ออสเตรีย, โครเอเชีย, ยูเครน

โถ 3 : สาธารณรัฐเช็ก, สวีเดน, โปแลนด์, โรมาเนีย, สโลวาเกีย, ฮังการี

โถ 4 : ตุรกี, สาธารณรัฐไอร์แลนด์, ไอซ์แลนด์, เวลส์, อัลแบเนีย, ไอร์แลนด์เหนือ

ในกรณีของ เวลส์ ที่ต้องตกมาอยู่ในโถสุดท้าย แม้ว่าอันดับแรงกิ้งฟีฟ่าจะติดท็อปเทน อย่างไรก็ตาม รายการนี้นับเฉพาะค่าสัมประสิทธิ์เฉพาะ “ยูฟ่า” เท่านั้น

ดังนั้น เมื่อมีการวางสายวางโถออกมาแบบนี้ มีความเป็นไปได้ว่า กรุ๊ป ออฟ เดธ ที่จะเกิดขึ้นคือ เยอรมนี หรือสเปน และอังกฤษ จะอยู่ร่วมสายกับ อิตาลี, สวีเดน และเวลส์

ส่วนกลุ่มที่อาจจะออกมาเบาที่สุดคือ เบลเยียม, ออสเตรีย, ฮังการี และไอร์แลนด์เหนือ

วันนี้เรามีบทสรุปที่น่าสนใจของยูโร รอบคัดเลือก หนนี้มาฝากกัน

l ขุนพลพ่ายผู้น่าผิดหวัง

สองยักษ์ใหญ่อดีตแชมป์รายการนี้ กลับเล่นได้ไม่เอาอ่าวเอาทะเล และน่าผิดหวังอย่างยิ่ง

ทีมแรกคือ “อัศวินสีส้ม” เนเธอร์แลนด์ แชมป์รายการนี้ปี 1988

ที่จบอันดับ 4 ของกลุ่ม เอ ไม่ได้สิทธิ์แม้กระทั่งเพลย์ออฟ

พวกเขาจบสถิติด้วยการชนะ 4 เสมอ 1 และแพ้ไปถึง 5 เกม

ภายใต้การคุมทัพของ กุส ฮิดดิ้งค์ ที่เข้ามาคุมทัพเป็นคำรบสอง แต่กลับทำทีมเล่นได้อย่างย่ำแย่ กระทั่งตัดสินใจลาออกหลังทำทีมเสมอกับ ตุรกี 1-1 ด้วยปัญหามากมายโดยเฉพาะอาการบาดเจ็บของนักเตะ

แดนนี่ บลินด์ ก้าวขึ้นมารับเผือกร้อนแทนก็ไม่รอด สุดท้ายทีมตกรอบแบบไม่มีสภาพ

ทีมที่สองคือ “แดนิชไดนาไมต์” เดนมาร์ก แชมป์ปี 1992

เทพนิยายเดนส์ ที่มีกลุ่มนักฟุตบอลรุ่นใหม่มากมายและน่าสนใจ แต่กลับใช้การทำงานของ มอร์เท่น โอลเซ่น อดีตกัปตันทีมชุดบอลโลก 1986 ที่ทำงานมานานเกือบๆ 15 ปี แต่ไม่มีอะไรดีขึ้น ตกรอบคัดเลือกรายการสำคัญไปถึง 4 ครั้ง

นั่นคือ บอลโลก ปี 2006 กับ 2014 รวมถึง ยูโร 2008 และยูโรหนนี้

แม้จะได้ลุ้นถึงเพลย์ออฟ แต่อย่าลืมว่า พวกเขาไม่ควรจะต้องดิ้นรนมากถึงขนาดนั้นก็ได้

(ซ้าย) สกอตแลนด์ เป็นทีมเดียวจากสหราชอณาจักรที่ไม่ได้เข้ารอบ 

l จากเทพนิยายกลายเป็นแค่นิทาน

“เทพนิยาย” กรีซ เจ้าของแชมป์ปี 2004 ไม่หลงเหลือสภาพเดิม โดยเฉพาะการแพ้ต่อ หมู่เกาะแฟโร ซึ่งเป็นทีมแจกแต้มประจำกลุ่มคาบ้านตัวเอง 0-1 ทำให้ แฟโร ชนะนอกบ้านหนแรกในรอบ 14 ปี

ทำให้ต้องไล่ เคลาดิโอ รานิเอรี่ กุนซืออิตาเลียน ออกจากตำแหน่ง

แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น กรีซ ต้องเปลี่ยนกุนซือมาเป็น คอสตาส ทซานาส, เซร์คิโอ มาร์คาเรียน และมิชาเอล สคิบเบ้ สุดท้าย กรีซ ก็มีสถิติชนะ 1 เสมอ 3 แพ้ 6 ตกรอบด้วยการเป็นบ๊วยกลุ่ม เอฟ

ฟุตบอลของพวกเขา ย่ำแย่ไม่แพ้สภาพเศรษฐกิจของประเทศจริงๆ

l ความสะใจของน้องใหม่

ยิบรอลตาร์ ที่เข้าร่วมดวลแข้งรอบคัดเลือกยูโร เป็นหนแรก ไม่ต้องรอนาน เมื่อพวกเขาได้ประตูแรกในการลงเตะนัดที่ 2 ของรายการ เมื่อยิงตีไข่แตกในเกมแพ้ สกอตแลนด์ 1-6 เมื่อ 29 มีนาคม 2015 ที่กลาสโกว์

ลี คาสไซโร่ เป็นผู้พังประตูได้สำเร็จในนาทีที่ 19 ตีเสมอวิสกี้เป็น 1-1 นี่คือประตูประวัติศาสตร์ของ ยิบรอลตาร์ โดยอาชีพหลักของหัวหอกวัย 34 ปีผู้นี้คือ เจ้าหน้าที่ตำรวจ!

(ขวา) มาร์ติน โอนีล ยอดกุนซือนำไอร์แลนด์ เข้ารอบได้สำเร็จ

l น้ำตาของวิสกี้

มันน่าเจ็บปวดอย่างที่สุดก็ว่าได้ของวงการลูกหนังวิสกี้ปี่สกอต

เมื่อสหราชอาณาจักร และไอร์แลนด์ ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายกันแบบแทบยกชุด ยกเว้น สกอตแลนด์ เพียงชาติเดียวเท่านั้น!

ทีมของ “มะพร้าวห้าว” กอร์ดอน สตรั๊คคั่น จบเพียงอันดับ 4 มีสถิติชนะ 4 เสมอ 3 แพ้ 3 ซึ่งพวกเขาหมดลุ้นอย่างเป็นทางการนั่นคือแพ้ นัดที่ 8 กับ 9 เยอรมนี คาบ้าน 2-3 และถูก โปแลนด์ ไล่ตีเสมอในช่วงทดเจ็บ 2-2

ทำให้ สกอตแลนด์ ไม่สามารถผ่านเข้ารอบรายการฟุตบอลสำคัญๆ 9 ทัวร์นาเมนท์ติดต่อกัน โดยหนสุดท้ายที่ได้ไปคือ บอลโลก 1998

ขณะที่อีก 3 ทีมแห่งสหราชอาณาจักร ทั้ง อังกฤษ, เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือ ต่างผ่านเข้ารอบกันทั้งหมด โดยเฉพาะ อังกฤษ ชนะรวด 10 นัดเป็นหนแรก, เวลส์ เข้ารอบรายการสำคัญได้นับตั้งแต่บอลโลก ปี 1958 ส่วน ไอร์แลนด์เหนือ ก็เข้ารอบรายการสำคัญหนแรกนับตั้งแต่ไปบอลโลก ปี 1986

l ทีมไร้ชัยในการคัดเลือกยูโร

ทีมที่ไม่ชนะใครเลยประจำรอบคัดเลือก ประกอบไปด้วย ลัตเวีย จากกลุ่ม เอ สถิติ เสมอ 5 แพ้ 5, กลุ่ม บี อันดอร์รา แพ้ 10 นัดรวด, ยิบรอลตาร์ จากกลุ่ม ดี แพ้ 10 นัดรวด, กลุ่ม อี ซาน มารีโน่ เสมอ 1 แพ้ 9, กลุ่ม จี มอลโดว่า เสมอ 2 แพ้ 8, กลุ่ม เอช
มอลต้า เสมอ 2 แพ้ 8, กลุ่ม ไอ อาร์เมเนียเสมอ 2 แพ้ 6

#เส้นทาง24ทีมสู่รอบสุดท้ายยูโร2016#

l ทีมชาติฝรั่งเศส

เข้ารอบยูโร2016 :

วันที่เข้ารอบ : 28 พฤษภาคม 2010

เข้ารอบสุดท้าย : 9 สมัย 1960, 1984, 1992, 1996, 2000, 2004, 2008, 2012, 2016

l ทีมชาติอังกฤษ

เข้ารอบยูโร2016 : แชมป์กลุ่ม อี

วันที่เข้ารอบ : 5 กันยายน 2015

เข้ารอบสุดท้าย : 9 สมัย 1968, 1980, 1988, 1992, 1996, 2000, 2004, 2012, 2016

l ทีมชาติสาธาณรัฐเช็ก

เข้ารอบยูโร2016 : แชมป์กลุ่ม เอ

วันที่เข้ารอบ : 6 กันยายน 2015

เข้ารอบสุดท้าย : 9 สมัย 1960, 1976, 1980, 1996, 2000, 2004, 2008, 2012, 2016

l ทีมชาติไอซ์แลนด์

เข้ารอบยูโร2016 : รองแชมป์กลุ่ม เอ

วันที่เข้ารอบ : 6 กันยายน 2015

เข้ารอบสุดท้าย : สมัยแรก

l ทีมชาติออสเตรีย

เข้ารอบยูโร2016 : แชมป์กลุ่ม จี

วันที่เข้ารอบ : 8 กันยายน 2015

เข้ารอบสุดท้าย : 2 สมัย 2008, 2016

l ทีมชาติไอร์แลนด์เหนือ

เข้ารอบยูโร2016 : แชมป์กลุ่ม เอฟ

วันที่เข้ารอบ : 8 ตุลาคม 2015

เข้ารอบสุดท้าย : สมัยแรก

l ทีมชาติโปรตุเกส

เข้ารอบยูโร2016 : แชมป์กลุ่ม ไอ

วันที่เข้ารอบ : 8 ตุลาคม 2015

เข้ารอบสุดท้าย : 7 สมัย 1984, 1996, 2000, 2004, 2008, 2012, 2016

l ทีมชาติสเปน

เข้ารอบยูโร2016 : แชมป์กลุ่ม ซี

วันที่เข้ารอบ : 9 ตุลาคม 2015

เข้ารอบสุดท้าย : 10 สมัย 1964, 1980, 1984, 1988, 1996, 2000, 2004, 2008, 2012, 2016

l ทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์

เข้ารอบยูโร2016 : รองแชมป์กลุ่ม อี

วันที่เข้ารอบ : 9 ตุลาคม 2015

เข้ารอบสุดท้าย : 4 สมัยน 1996, 2004, 2008, 2016

l ทีมชาติอิตาลี

เข้ารอบยูโร2016 : แชมป์กลุ่ม เอช

วันที่เข้ารอบ : 10 ตุลาคม 2015

เข้ารอบสุดท้าย : 9 สมัย 1968, 1980, 1988, 1996, 2000, 2004, 2008, 2012, 2016

l ทีมชาติเบลเยียม

เข้ารอบยูโร2016 : แชมป์กลุ่ม บี

วันที่เข้ารอบ : 10 ตุลาคม 2015

เข้ารอบสุดท้าย : 5 สมัย 1972, 1980, 1984, 2000, 2016

l ทีมชาติเวลส์

เข้ารอบยูโร2016 : รองแชมป์กลุ่ม บี

วันที่เข้ารอบ : 10 ตุลาคม 2015

เข้ารอบสุดท้าย : สมัยแรก

l ทีมชาติโรมาเนีย

เข้ารอบยูโร2016 : รองแชมป์กลุ่ม เอฟ

วันที่เข้ารอบ : 11 ตุลาคม 2015

เข้ารอบสุดท้าย : 5 สมัย 1984, 1996, 2000, 2008, 2016

l ทีมชาติแอลเบเนีย

เข้ารอบยูโร2016 : รองแชมป์กลุ่ม ไอ

วันที่เข้ารอบ : 11 ตุลาคม 2015

เข้ารอบสุดท้าย : สมัยแรก

l ทีมชาติเยอรมนี

เข้ารอบยูโร2016 : แชมป์กลุ่ม ดี

วันที่เข้ารอบ : 11 ตุลาคม 2015

เข้ารอบสุดท้าย : 12 สมัย 1972, 1976, 1980, 1984, 1988, 1992, 1996, 2000, 2004, 2008, 2012, 2016

l ทีมชาติโปแลนด์

เข้ารอบยูโร2016 : รองแชมป์กลุ่ม ดี

วันที่เข้ารอบ : 11 ตุลาคม 2015

เข้ารอบสุดท้าย : 3 สมัย 2008, 2012, 2016

l ทีมชาติรัสเซีย

เข้ารอบยูโร2016 : รองแชมป์กลุ่ม จี

วันที่เข้ารอบ : 12 ตุลาคม 2015

เข้ารอบสุดท้าย : 11 สมัย 1960, 1964, 1968, 1972, 1988, 1992, 1996, 2004, 2008, 2012, 2016

l ทีมชาติสโลวาเกีย

เข้ารอบยูโร2016 : รองแชมป์กลุ่ม ซี

วันที่เข้ารอบ : 12 ตุลาคม 2015

เข้ารอบสุดท้าย : สมัยแรก

l ทีมชาติโครเอเชีย

เข้ารอบยูโร2016 : รองแชมป์กลุ่ม เอช

วันที่เข้ารอบ : 13 ตุลาคม 2015

เข้ารอบสุดท้าย : 5 สมัย 1996, 2004, 2008, 2012, 2016

l ทีมชาติตุรกี

เข้ารอบยูโร2016 : ทีมอันดับ 3 ที่ดีที่สุด

วันที่เข้ารอบ : 13 ตุลาคม 2015

เข้ารอบสุดท้าย : 4 สมัย 1996, 2000, 2008, 2016

l ทีมชาติฮังการี

เข้ารอบยูโร2016 : เพลย์ออฟ

วันที่เข้ารอบ : 15 พฤศจิกายน 2015

เข้ารอบสุดท้าย : 3 สมัย 1964, 1972, 2016

l ทีมชาติสาธารณรัฐไอร์แลนด์

เข้ารอบยูโร2016 : เพลย์ออฟ

วันที่เข้ารอบ : 15 พฤศจิกายน 2015

เข้ารอบสุดท้าย : 3 สมัย 1988, 2012, 2016

l ทีมชาติยูเครน

เข้ารอบยูโร2016 : เพลย์ออฟ

วันที่เข้ารอบ : 15 พฤศจิกายน 2015

เข้ารอบสุดท้าย : 2 สมัย 2012, 2016

l ทีมชาติสวีเดน

เข้ารอบยูโร2016 : เพลย์ออฟ

วันที่เข้ารอบ : 15 พฤศจิกายน 2015

เข้ารอบสุดท้าย : 6 สมัย 1992, 2000, 2004, 2008, 2012, 2016

บี แหลมสิงห์