.

ฟุตบอลโลกจัดขึ้นที่ทวีปเอเชียเป็นครั้งแรก และยังเป็นยอดทีมอย่าง บราซิล ที่มาเป็นแชมป์

 “แซมบ้า” ลบล้างความผิดหวังจากนัดชิงเมื่อ 4 ปีที่แล้วลงได้สำเร็จ โดยเส้นทางของพวกเขารอบแรกโชว์ฟอร์มหรูเก็บ 9 คะแนนเต็ม ด้วยการเอาชนะทั้ง 3 นัด เฉือน ตุรกี 2-1, ถล่ม จีน 4-0 และ อัด คอสตาริก้า 5-2

ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายบราซิลที่เป็นแชมป์ของกลุ่มต้องพบกับ เบลเยี่ยม ทีมอันดับสองของกลุ่มเอช ซึ่งพวกเขาสามารถต้อนเอาชนะไปได้ 2-0 จากการทำคนละประตูของ ริวัลโด้ และ โรนัลโด้ เข้ารอบไปพบกับ “สิงโตคำราม” อังกฤษ

เกมในรอบ 8 ทีมสุดท้ายถือเป็นแมตช์หยุดโลกที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ขวัญใจมหาชน อย่าง อังกฤษ ขึ้นนำก่อนจาก ไมเคิ่ลโอเว่น ก่อนจะเป็น ริวัลโด้ ที่มาทำประตูให้ บราซิล ไล่ตามตีเสมอ 1-1 และมาได้ประตูชัยในช่วงครึ่งหลังจากฟรีคิกมหัศจรรย์ของ “เหยินเล็ก”โรนัลดินโญ่ ทำให้ชนะไป 2-1

รอบรองชนะเลิศ บราซิล ที่ไม่มี โรนัลดินโญ่ จากการถูกใบแดงในรอบที่แล้ว ต้องโคจรมาพบกับ “ไก่งวง” ตุรกี ที่เจอกันมาแล้วในรอบแบ่งกลุ่ม เกมนี้จบลงด้วยชัยชนะของขุนพลแซมบ้าที่เฉือนไป 1-0 จากการยิงแบบ”ฉีดยา”ของ โรนัลโด้ ผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศพบกับ “อินทรีเหล็ก” เยอรมัน ที่เฉือนเจ้าภาพเกาหลีใต้ด้วยสกอร์เดียวกัน

เกมนัดชิงชนะเลิศฟาดแข้งกันที่ อินเตอร์เนชั่นแนลสเตเดี้ยม เมืองโยโกฮาม่า โดยมี “ไอ้หัวหลอดไฟ” ปิแอร์ลุยจิ คอลลิน่า ลงทำหน้าที่ผู้ตัดสินโดยครึ่งแรกเสมอกัน 0-0 ก่อนที่ครึ่งหลัง “โล้นทองคำ”โรนัลโด้ จะมาทำคนเดียวสองประตูช่วยให้ บราซิล เอาชนะ เยอรมัน ไปได้ 2-0 คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยที่ 5 ไปครอง

พร้อมกับทำให้โลกรู้จักการเล่นเกมรุกอันทรงพลังจาก “3อาร์” คือ โรนัลโด้, ริวัลโด้ และโรนัลดินโญ่