.
หลังจากเว้นว่างไป เนื่องจากมีสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้น ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับมวลมนุษยชาติมากมาย การกลับมาครั้งแรกในรอบ 12 ปี ที่ทวีปอเมริกาใต้
แชมป์ตกเป็นของ “จอมโหด”อรุกวัย ที่กลับมาผงาดอีกครั้งหลังจากที่เคยได้แชมป์มากแล้วเมื่อปี 1930 ที่ตัวเองเป็นเจ้าภาพ
เส้นทางของพวกเขาในรอบแรกต้องอยู่ในกลุ่ม 4 ที่เหลือแค่ 2 ทีมเท่านั้นร่วมกับ โบลิเวีย เนื่องจากฝรั่งเศส ถอนตัวออกจากการแข่งขัน โดยพวกเขาถล่มเอาชนะ โบลีเวีย ไปแบบขาดลอย 8-0 จากการทำแฮตทริกของ ออสการ์ มิเกล กลายเป็นแชมป์กลุ่มทันที
ในรอบไฟน่อล ที่ต้องแข่งแบบแบ่งกลุ่ม พบกันหมด อุรุกวัย เกือบจะเอาตัวไม่รอดเป็นฝ่ายที่ไล่ตามตีเสมอ สเปน แบบสุดมันส์ 2-2 ส่วนนัดที่สองสามารถเฉือนเอาชนะ สวีเดน ไปแบบหวุดหวิด 3-2 นเกมนี้ ออสการ์ มิเกล ทำคนเดียวสองประตู
ในเกมนัดสุดท้ายถือว่าเป็นนัดชิงอย่างแท้จริงเจ้าภาพ บราซิล ที่มี 4 คะแนนจากการเก็บชัยชนะมาได้ 2 นัดรวด (ชนะ สวีเดน 7-1, ชนะ สเปน 6-1) ส่วน อรุกวัยมีแค่ 3 แต้ม (เสมอ สเปน 2-2, ชนะสวีเดน 3-2) ทำให้ต้องชนะสถานเดียวเท่านั้น
เกมฟาดแข้งกันที่ เอสตาดิโอ โด มาราคาน่า ท่ามกลางแฟนบอลเฉียด 200,000 คน ทัพแซมบ้าได้ประตูออกนำก่อน แต่ทว่า อุรุกวัย มาทำสองประตูรวดจาก ฮวน อัลแบร์โต้ เคียฟิโน่ และอัลซิเดส กิกเกีย พลิกแซงเอาชนะ 2-1 คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกเป็นสมัยที่สอง ทำเอาแฟนบอลเจ้าภาพน้ำตาท่วม มาราคาน่า
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี