การแข่งขันฟุตบอลโลก ครั้งที่ 21 ที่ประเทศรัสเซีย เป็นเจ้าภาพ ระหว่างวันที่ 14 มิถุนายน ไปจนถึง 15 กรกฎาคมนี้ ปรากฏว่า สองซูเปอร์สตาร์ดังระดับโลกในยุคลูกหนัง 4G ทั้ง ลีโอเนล เมสซี่ และคริสติอาโน่ โรนัลโด้ กอดคอกันตกรอบ 2 ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ในการดวลแข้งรอบ 2 เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา เมสซี่ ไม่สามารถนำทัพ “ฟ้าขาว” อาร์เจนติน่า เข้ารอบได้ เมื่อพ่ายให้กับ “ไก่ทองคำ” ฝรั่งเศส กระจุย 2-4 ขณะที่ โรนัลโด้ คายพิษสงไม่ออกก่อนที่ “ฝอยทองผยองเดช” โปรตุเกส จะเจ๊งชัยให้กับ “จอมโหด” อุรุกวัย 1-2 ทำให้ทั้ง โรนัลโด้ และเมสซี่ กอดคอกันตกรอบฟุตบอลโลก หมดโอกาสลุ้นแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยแรก ทั้งที่ในรอบ 10 ปีหลังแห่งโลกฟุตบอล ทั้งคู่ผลัดกันได้รางวัลสุดยอดนักเตะของโลก หรือ บัลลงดอร์ คนละ 5 สมัย แต่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการเล่นฟุตบอลโลก ตลอดอาชีพค้าแข้งที่ผ่านมา
นอกจากจะอำลาฟุตบอลโลก 2018 ในวันเดียวกันแล้ว สิ่งที่เหมือนกันคือทั้งคู่ยังไม่สามารถทำประตูในรอบน็อคเอาท์ของฟุตบอลโลกด้วยกันทั้งคู่
โดย เมสซี ลงเล่นในรอบ น็อคเอาท์ไปทั้งสิ้น 8 นัด ในฟุตบอลโลกรวม 756 นาที มีโอกาสยิง 23 ครั้ง ยังไม่มีประตู ขณะที่ โรนัลโด้ เล่นรอบน็อคเอาท์ ไป 6 นัดรวมแล้ว 514 นาที มีโอกาสยิง 25 ครั้ง ยังไม่มีประตูเช่นกัน
มาที่การดวลแข้งในวันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคมนี้ มีการดวลแข้งกันทั้งหมด 2 คู่ในรอบ 2 หรือ 16 ทีมสุดท้าย “เต็ง 1” ทีมชาติบราซิล จะดวลแข้งกับ “จังโก้” ทีมชาติเม็กซิโก และหนึ่งเดียวจากเอเชียที่ผ่านเข้ารอบมาได้นั่นคือ “ซามูไร บลูส์” ทีมชาติญี่ปุ่น ต้องดวลกับของหนักอย่าง “ปีศาจแดงแห่งยุโรป” ทีมชาติเบลเยี่ยม
เริ่มการดวลแข้งคู่แรก ในเวลา 21.00 น.บราซิล แชมป์โลก 5 สมัย และเต็ง 1 ในการแข่งขันครั้งนี้ เล่นที่สนามคอสมอส อารีน่า เมืองซามาร่า ถ่ายทอดสดผ่านทาง อมรินทร์ ทีวี ช่อง 34 และทรูวิชันส์ ช่อง 668
บราซิล ครองแชมป์กลุ่ม อี ด้วยสถิติชนะ 2 เสมอ 1 อยู่ในช่วงฟอร์มต่อเนื่องไม่แพ้ใครมาถึง 1 ปีเต็ม รวม 14 เกมติดต่อกัน และชนะได้ถึง 10 นัด ตีเต้ กุนซือจัดทรงทีมชุดเด็ดวาง เนย์มาร์ จูเนียร์ เป็นแม่ทัพในแนวรุก ร่วมกับ กาเบรียล เชซุส และมี ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ คอยปั้นเกมแดนกลางร่วมกับ วิลเลี่ยน โดยให้ กาเซมิโร่ กับ เปาลินโญ่ เป็นตัวตัดเกม ปัญหาของทีมในตอนนี้คือ มาร์เซโล่ แบ๊คซ้ายจอมเก๋า ที่บาดเจ็บจากนัดที่แล้ว ต้องรอทดสอบความฟิต หากลงไม่ได้ ฟิลิปเป้ ลุยซ์ จะทำหน้าที่แทน ส่วน ดั๊กลาส คอสต้า ปีกตัวจี๊ดที่เดี้ยงมาจากนัดที่ 2 ของรอบแรก ยังไม่พร้อมสำหรับเกมนี้
ขณะที่ “จังโก้” ที่เข้ารอบมาเป็นอันดับ 2 กลุ่ม เอฟ แบบต้องลุ้นกันหืดจับ แม้สองเกมแรกจะชนะรวดมาก็ตาม เพราะมาแพ้ สวีเดน เละเทะ 0-3 นัดนี้มีปัญหาสำคัญเมื่อ เอคตอร์ โมเรโน่ ปราการหลังตัวกลางคนสำคัญของทีมติดโทษแบน ทำให้ ฮูโก้ อยาล่า ต้องลงเป็นตัวจริงแทน เล่นกับ การ์ลอส ซัลเซโด้
ซึ่งทีมยังพร้อมลงสนามด้วยระบบ 4-2-3-1 เอคตอร์ เอร์เรร่า กับ อันเดรส กวาร์ดาโด้ สองห้องเครื่องตัวสำคัญจะเป็นแผนกไล่ล่าบอล โดยมี เออร์วิง โลซาโน่ ที่มีค่าเฉลี่ยนดีที่สุดของทีม เดินเกมรุกร่วมกับ มิเกล ลายุน และ การ์ลอส เวล่า ส่วนแดนหน้า ฮาเวียร์ เอร์นานเดซ ‘’ชิชาริโต้’’ เป็นหัวใจสำคัญเช่นเดิม
11 ตัวจริงที่คาดว่าจะลงสนาม บราซิล: อลิสซอน เบ๊คเกอร์-ฟ้ากเนอร์, ติอาโก้ ซิลวา, ชูเอา มีรันด้า, ฟิลิเป้ ลุยส์ กาสมีร์กี้-เปาลินโญ่, คาเซมีโร่-วิลเลี่ยน, ฟิลิปเป้ คูตินโญ่, เนย์มาร์ และ กาเบรียล เชซุส
เม็กซิโก : กีเยร์โม่ โอชัว - เอ็ดสัน อัลวาเรซ, ฮูโก้ อยาล่า, การ์ลอส ซัลเซโด้, ฟรานซิสโก้ กายาร์โด้ - เอคตอร์ เอร์เรร่า, อันเดรส กวาร์ดาโด้ - มิเกล ลายุน, การ์ลอส เวล่า, เออร์วิง โลซาโน่ และ ฮาเวียร์ เอร์นานเดซ ‘’ชิชาริโต้’’
สถิติการพบกันของคู่นี้ บราซิล เหนือกว่าด้วยการชนะ 23 เสมอ 7 เม็กซิโก ชนะ 10 นับเฉพาะในบอลโลก บราซิล ไม่เคยแพ้ เริ่มจากชนะ 4-0 ปี 1950, ชนะ 5-0 ปี 1954, ชนะ 2-0 ปี 1962 ก่อนจะเสมอกัน 0-0 เมื่อ 4 ปีก่อน
แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ นับตั้งแต่ขึ้นยุคมิลเลนเนี่ยม เจอกัน 14 ครั้ง เม็กซิโก เอาชนะได้ถึง 6 ครั้ง เสมอ 3 บราซิล ชนะได้ 5 ครั้งเท่านั้น
ทีมผู้ตัดสินเกมนี้คือ จานลูก้า ร็อคคี่ จากอิตาลี ซึ่งตัดสินบอลโลกปีนี้มาแล้ว 2 นัด ปรากฏว่าเสมอทั้ง 2 เกม คือ โปรตุเกส เสมอ สเปน 3-3 และญี่ปุ่น เสมอ เซเนกัล 2-2
จากนั้นในเวลา 01.00 น.เบลเยี่ยม แชมป์กลุ่ม จี พบกับ ญี่ปุ่น รองแชมป์กลุ่ม เอช ที่สนามรอสตอฟ อารีน่า เมืองรอสตอฟ ออน-ดอน โดยมี มาลัง เดียดฮุย ผู้ตัดสินจากเซเนกัล ทำหน้าที่ชี้ขาด ซึ่งถือเป็นเกมที่ 3 ที่ลงตัดสิน
เบลเยียม ที่ขึ้นมายึดเต็ง 3 หลังจากออกฟอร์มหรู ด้วยการชนะรวดทั้ง 3 นัดในรอบแรก เก็บ 9 คะแนนเต็มได้สำเร็จ มีปัญหาต้องทดสอบความฟิตของสองแกนรุกคนสำคัญ นั่นคือ เอแด็น อาซาร์ เพลย์เมคเกอร์ตัวฉกาจ และโรเมลู ลูกาคู หัวหอกที่ซัดไปแล้ว 4 ประตู โดยทั้งคู่เจ็บมาจากการลงเล่นนัดที่ 2 ที่ถลุง ตูนีเซีย 5-2 คาดว่า โรแบร์โต้ มาร์ติเนซ กุนซือยังไงก็ต้องเข็นลงสนาม ส่วนแนวรับที่ได้ แวงซองต์ ก็องปานี หายเจ็บกลับมา ก็น่าจะสตาร์ทเป็นตัวสำรองไปก่อน เนื่องจาก โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์, เดดริค โบยาต้า และ แยน แฟร์ต็องเก้น ทำหน้าที่กันได้ดีอยู่แล้ว
ทั้งนี้ เบลเยี่ยม เป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์บอลโลก ที่ใช้ผู้เล่นไปแล้วถึง 21 คนในการลงสนามเพียงแค่ 3 นัดในรอบแรก เท่ากับว่าที่ยังไม่ได้ลงเล่นครั้งนี้คือสองนายประตูสำรองเท่านั้น
ทางด้าน ญี่ปุ่น ที่เข้ารอบมาแบบวัดใจสุด ๆ เมื่อมีสถิติชนะ 1 เสมอ 2 เท่ากับ เซเนกัล แต่มีแฟร์เพลย์ที่ดีกว่า ด้วยการโดนเหลือง 4 ใบ ส่วน เซเนกัล 6 ใบ ทำให้เป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์บอลโลก ที่เข้ารอบด้วยกฎนี้ เนื่องจากทั้งประตูได้เสีย, ประตูที่ยิงได้ และการพบกันโดยตรง หรือ เฮด ทู เฮด เท่ากันทั้งหมด
นัดนี้จะกลับมาเล่นระบบ 4-2-3-1 เหมือนเดิมอีกครั้ง หลังจากปรับระบบเล่น 5-4-1 ในเกมที่แล้ว รวมถึงเปลี่ยนทีมถึง 6 คนจนเกือบตกรอบ โดยเกมตรงกลาง มาโกโตะ ฮาเซเบะ กัปตันทีม จะกลับมาคุม จังหวะบอลร่วมกับ กาคุ ชิบาซากิ ขณะที่เกมรุก เกงกิ ฮารากูจิ ประสานงานกับ ชินจิ คางาวะ และ ทากาชิ อินูอิ โดยมี ยูยะ โอซาโกะ ค้ำแดนหน้า
สำหรับ 11 ตัวจริงที่คาดว่าจะลงสนามมีดังนี้ เบลเยี่ยม : ติโบต์ กูร์กตัวส์ - โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์, เดดริค โบยาต้า, แยน แฟร์ต็องเก้น - โธมัส เมอนิเย่ร์, เควิน เดอ บรอยน์, อักเซล วิตเซล, ยานนิค แฟร์เรยร่า การ์ราสโซ่-ดรีส์ เมอร์เท่นส์, เอแด็น อาซาร์ และ โรเมลู ลูกากู
ญี่ปุ่น : เอจิ คาวาชิมะ – ฮิโรกิ ซากาอิ, มายะ โยชิดะ, เก็น โชจิ, ยูโตะ นางาโตโมะ – กาคุ ชิบาซากิ, มาโกโตะ ฮาซาเบะ-เกงกิ ฮารากูจิ ชินจิ คางาวะ, ทากาชิ อินูอิ - ยูยะ โอซาโกะ
สถิติคู่นี้ถือว่าน่าสนใจเมื่อเจอกัน 5 ครั้ง ญี่ปุ่น เหนือกว่าด้วยการชนะ 2 เสมอ 1 เบลเยี่ยม ชนะได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น แต่เป็นการชนะในการพบกันล่าสุดเมื่อ 14 พฤศจิกายนปีที่แล้ว ด้วยสกอร์ 1-0
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี