ต่อจากหน้า 1
ปกติการดวลแข้งกันในฟุตบอลโลก มันจะมีเรื่องของความหลังครั้งเก่า การต่อกรเพื่อแย่งชิงแผ่นดิน การทำสงครามทั้งทางตรงและทางอ้อม
แต่สำหรับคู่ ฝรั่งเศส กับ เบลเยียม แล้วแทบจะไม่ใช่เลย
ถือว่า เป็นสงครามของพวกเดียวกัน พรมแดนติดกันไปมาหาสู่กันง่าย และเอื้อกัน รวมถึงมีเรื่องราวเชิงประวัติศาสตร์มายาวนาน
ตัวอย่างที่เราได้ยินกันบ่อยก็คือ “วอเตอร์ลู” สงครามครั้งสุดท้ายของ นโปเลียน กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งฝรั่งเศส ตอนนั้นอาจจะเป็นพื้นที่ของเนเธอร์แลนด์ แต่ปัจจุบันคือตำบลหนึ่งในทางตอนใต้ของบรัสเซลส์ เมืองหลวงของเบลเยียม
ย้อนไปเมื่อครั้งที่ เบลเยียม ปฏิวัติดินแดนมาเป็นของตัวเอง หลังจากเป็นส่วนหนึ่งของเนเธอร์แลนด์ ตอนนั้นพวกเขาก็ใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาราชการ เนื่องจากชนชั้นนำของประเทศเบลเยียมสมัยนั้นนิยมใช้ภาษาฝรั่งเศส
กระทั่งมีความขัดแย้งเรื่องภาษา เนื่องจากคนรวยในตอนนั้นอยู่ทางใต้ใช้ภาษาฝรั่งเศส แต่ภาพรวมแล้วพวกเขาก็มีภาษาของตัวเอง และใช้ภาษาดัทช์ ของเนเธอร์แลนด์ รวมถึงภาษาดอยช์ ของเยอรมนี
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 อุบัติขึ้น กองทัพเยอรมนี ที่จะไปเล่น ฝรั่งเศส ก็ “ขอผ่าน”ดินแดนประเทศเบลเยียมที่ประกาศตัวว่า “เป็นกลาง”
ก่อนจะเลี้ยวลงไปทางใต้เพื่อโอบล้อมกองทัพฝรั่งเศสตามพรมแดนเยอรมนี แผนการดังกล่าวกำหนดให้ปีกขวาตีมาบรรจบกันที่กรุงปารีส
ถือได้ว่า เบลเยียม ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไร
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ทุกอย่างเคลียร์หมด เบลเยียม จำเป็นต้องออกกฎหมายการใช้ภาษา หรือ Language Areas ก่อนจะมีผลบังคับใช้ 4 พื้นที่ คือ พื้นที่ภาษาดัทช์, พื้นที่ภาษาฝรั่งเศส, พื้นที่ภาษาดอยช์(เยอรมนี) และพื้นที่บรัสเซลส์ที่เป็นพื้นที่สองภาษา คือ ฝรั่งเศส กับ ดัทช์
ที่นี่แบ่งเป็น 3 เขต คือ ฟลามส์, วาลลูน และเขตเมืองหลวงบรัสเซลส์ แต่ละเขตมีรัฐบาลท้องถิ่นปกครองตนเองและมีรัฐบาลกลางบริหารประเทศ
ที่สำคัญก็คือ ปัจจุบันมีชุมชนฝรั่งเศสแห่งเบลเยียม ที่ได้รับการดูแลเป็นพิเศษสำหรับผู้พูดภาษาฝรั่งเศส อยู่ในเบลเยียม พร้อมกับธงประจำถิ่นอีกด้วย เพราะมีจากแดนน้ำหอมไปอยู่ที่นั่นกว่า 3.6 ล้านคน ในวาลลูน
แน่นอนนี่คือการต่อกรของสองประเทศที่ชายแดนติดกัน ไม่ได้มีอะไรบาดหมาง และแทบจะเป็นพวกเดียวกัน รวมถึงเป็นหัวอกเดียวกันเมื่อครั้งมีการโจมตีปารีส เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2015
เรื่องราวนอกสนาม เล่าอีกหลายวันก็ไม่หมด แต่ตรงข้ามกับเรื่องราวในสนามฟุตบอลสองทีมนี้ เจอกันมาเยอะมากก็จริง แต่ในฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย นี่คือครั้งที่ 3 เท่านั้น
จาก 73 ครั้งที่พบกัน ยอดรวม เบลเยียม ชนะได้มากกว่า โดยกำชัยถึง 30 นัด แพ้ 24 และเสมอกัน 19 เกม หากแต่นับเฉพาะฟุตบอล ฝรั่งเศส เป็นฝ่ายกำชัยได้ทุกครั้ง
เริ่มจากปี 1938 ฝรั่งเศส ชนะขาด 3-1 จากนั้นต้องรอกันมานานถึงปี 1986 หรืออีก 48 ปีต่อมา ในเกมที่ทั้งคู่เพิ่งอกหักจากรอบตัดเชือก และเป็น ฝรั่งเศส ที่ชนะไป 4-2 คว้าอันดับ 3 เป็นการปลอบใจ
นับต่อถึงเกมที่มีความหมายทั้งการคัดเลือกบอลโลก หรืออะไรต่างๆ ฝรั่งเศส ก็ยังดีกว่า เมื่อชนะไป 5 เสมอ 3 แพ้ไป 3
ทั้งคู่ไปได้เจอกันมานาน 3 ปี สิ่งที่น่าสนใจนี่คือเดิมว่าใครจะได้เข้าชิง
ฝรั่งเศส เคยได้แชมป์เมื่อปี 1998 มีกุนซือที่เป็นกัปตันทีมในครั้งนั้นอย่าง ดีดิเยร์ เดส์ชองป์ คุมทัพ มาในนัดนี้พวกเขาไม่มีปัญหาในการจัดตัว และจะเป็นธรรมชาติมากขึ้นเมื่อ แบลสต์ มาตุยดี้ ลงมาช่วยเปิดทางเกมรุกฝั่งซ้ายให้แรงขึ้นกว่านัดก่อน
แม้ว่า โกร็องแต็ง โตลิสโซ่ จะทำผลงานได้ดี แต่มันเหมือนกับว่า บอลต้องมาพิงฝั่งขวามากไปหน่อย ทำให้ไม่สมดุล ดังนั้นเมื่อ มาตุยดี้ ที่กำลังเล่นดีในรายการนี้ จะทำให้ ฝรั่งเศส เล่นได้ตามที่ต้องการตามแผน
4-2-3-1 จะต้องชนกับ 3-4-2-1 ของเบลเยียม ที่เกมก่อนสลับเล่น 3 แผน ในเกมเดียวโดยเฉพาะตอนเล่น 4-3-2-1 เน้นเกมรับเหนียวแน่น แต่ถามว่า เหนียวจริงหรือว่าฟอร์มของ ติโบ กูร์กตัวส์ กันแน่ ที่ทำให้พวกเขาผ่าน บราซิล มาได้
สิ่งที่เป็นประเด็นนั่นก็คือ ตำแหน่งการยืนของ เควิน เดอ บรอยน์ แน่นอนว่าเมื่ออยู่ตัวบนใกล้เขตประตูฝั่งตรงข้าม เขาอันตรายมากๆ แต่อย่าลืมว่า แดนกลางมีปัญหาเพราะถ้าจะใช้ อั๊กเซล วิตเซิ่ล กับ มารูยาน เฟลไลนี่ มาใช้มุขเดิม คือไล่หวดกองกลางฝรั่งเศสอีก คงไม่งาม
อย่าลืมว่า กองกลางของฝรั่งเศสออกบอลง่ายกว่ากองกลางบราซิล
ที่สำคัญกองหน้าแม้จะใช้ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ แต่ก็ไม่ได้ส่ายไปมา ตัวนี้จะปักสู้กับ แวงซองต์ ก็องปานี, โทบี้ อัลเดอไวเรลด์ และยาน แฟร์ตองเก้น แต่แนวสองของฝรั่งเศส น่าสนใจมาก เพราะมีครบครันของความเร็วของ คีลิยัน เอ็มบัปเป้ และเทคนิคของ อองตวน กรีซมันน์
ที่สำคัญทั้งสองคนโดดเด่นคนละอย่าง แต่เหมือนกันคือ มีความแม่นยำ และพร้อมช่วยงานชิรูด์ได้ทันเวลา ในเรื่องของความเร็ว และแง่ของแท็กติก
ขณะที่ โรเมลู ลูกาคู การปรับมายืนด้านข้าง คือมิติใหม่ในการเล่น เขาดูน่ากลัวเพราะตัวใหญ่ๆ แล้วไปกับบอลนี่พร้อมชนแหลกลาญกันไปข้าง เพียงแต่ว่า เอแด็น อาซาร์ กับ เควิน เดอ บรอยน์ อีกสองคนต้องเร่งเครื่องให้เร็วและแรงกว่านี้ หากจะเอาชนะ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ และราฟาเอล วาราน
พร้อมกับกดดัน ซามูแอล อุมตีตี้ บ่อน้ำมันตราไก่หยิบวาล์วแก๊ส ที่เหมือนจะรั่วได้ในทุกวินาที
ภาพรวมจึงดูออกมาสูสีพอกัน สิ่งสำคัญก็คือ เมื่อ โธมัส เมอนิเยต์ แบ๊กคนสำคัญที่สร้างความสมดุลให้ทีมดันมาติดโทษแบนพอดี
หลายนัดที่จุดเล็กๆ กลายเป็นของมีค่า กลายเป็นจุดสำคัญ ที่ให้ฝั่งตรงข้ามเห็นจุดสลบมาแล้ว อาจจะเป็นจุดชี้เป็นชี้ตายของเกม
เพราะมาถึงขั้นนี้จะบอกว่า ฝีเท้ากับวาสนา อย่างเดียวคงไม่พอ เนื่องจากคุณจะรบกันทั้งที
มันต้องอ่านการยุทธทะลุจุดยุทธศาสตร์กันให้ดีก่อนออกศึก......
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี