การแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ กลับมาดวลแข้งกันอีกครั้งหลังจากหยุดไปเกือบ 2 สัปดาห์เนื่องจากเป็นช่วงฟีฟ่า เดย์ โดยจะดวลแข้งกันทั้งหมด 7 คู่ และทีมในระดับท็อปหรือ “บิ๊กซิกซ์” ลงเล่นพร้อมกันในวันเดียวกันเกมบิ๊กแมทช์อยู่ที่สนาม นิว เวมบลีย์ ระหว่าง “ไก่เดือยทอง” ท็อตแน่ม ฮ็อmสเปอร์ ที่มี 9 คะแนน จาก 4 นัด เจอกับ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล จ่าฝูงที่ชนะมา 4 นัดรวด มี 12 คะแนนเต็ม ในเวลา 18.30 น.พีพีทีวี เอชดี ช่อง 36 ถ่ายทอดสด
ความพร้อมของเกมนี้ สเปอร์ส มีปัญหาเมื่ออูโก้ โยริส นายประตูกัปตันทีมชาติฝรั่งเศสชุดแชมป์โลก 2018 ยังบาดเจ็บลงไม่ได้ทำให้ต้องให้ มิเชล ฟอร์ม เฝ้าเสาเป็นเกมที่สอง ขณะที่ เดเล่ อัลลี แกนรุกคนสำคัญก็เดี้ยงอดเล่นเช่นกัน แต่ยังได้ ซน ฮึง-มิน กลับมาเป็นตัวเลือกในเกมรุก แต่คาดว่า เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ จะเลือก ลูคัส มูร่า นักเตะยอดเยี่ยมเดือนสิงหาคม ปักหอกกับ แฮร์รี่ เคน หัวหอกตัวความหวังของทีม
ทางฝั่ง “หงส์แดง” น่าจะเลือก นาบี เกอิต้า กลับมายืนมิดฟิลด์อีกครั้ง หลังจากถูกดร็อปในเกมกับ เลสเตอร์ ทำให้ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ต้องกลับไปนั่งสำรอง นอกจากนั้นเป็นทัพใหญ่ อลิสซอน เบ็คเกอร์ เฝ้าเสา โดยมี เฟอร์จีล ฟาน ไดจ์ค คุมแนวรับกับโจ โกเมซ ส่วนแนวรุกยังเป็น 3 ประสานหินเหล็กไฟ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ความหวังสูงสุดของทีม, ซาดิโอมาเน่ และโรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่
สถิติการเจอกันของคู่นี้ ลิเวอร์พูล เหนือกว่าด้วยการชนะถึง 80 เสมอ 42 สเปอร์ส ชนะ 48 หากว่า ลิเวอร์พูล ชนะได้จะทำให้สตาร์ทชนะ 5 เกมรวดเป็นหนที่ 3 ของทีม หลังจากเคยทำได้ซีซั่น 1978-798 กับ 1990-91 แต่ในทางกลับกันถ้า สเปอร์ส ชนะจะมี 12 แต้มจาก 5 นัด ถือเป็นการสตาร์ทดีสุดตลอดกาล
ทางด้าน “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซีที่สตาร์ทแรงชนะทั้ง 4 เกมเช่นกัน เปิดบ้านเจอกับ “บลูเบิร์ดส์” คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ ในเวลา 21.00 น.ซึ่งไลน์อัพ 11 ตัวจริงไม่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะแผงกลางทั้ง 3 คน เอ็นโกโล่ ก็องเต้, จอร์จินโญ่ และมาเตโอโควาซิซ ประสานพลังได้ลงตัว ส่วนแนวรุกเปโดร จะได้สตาร์ทตัวจริง ลุ้นสกอร์กับอัลบาโร่ โมราต้า โดยมี เอแด็น อาซาร์ เป็นเพลย์เมคเกอร์
ฝั่ง คาร์ดิฟฟ์ น้องใหม่ที่ยังไม่ชนะใครหลังจากเสมอ 2 แพ้ 2 ไม่มี แอร่อน กุนนาร์สสัน กับ นาธาเนี่ยล เมนเดซ ที่บาดเจ็บ แถมต้องเช็ค จอช เมอร์ฟี่ย์ อีกคน ซึ่งทีมยังยึดระบบ 4-4-2 ลงสู้ศึก วาง แดนนี่ วอร์ด ยืนหน้าเป้าร่วมกับ เคนเน็ธ ซอฮอร์
อีกคู่ในเวลา 23.30 น.”แตนอาละวาด” วัตฟอร์ด ที่เซอร์ไพรส์เป็น 1 ใน 3 ทีมที่ชนะ 4 เกมเช่นกัน เปิดรังวิคาเรจ โร้ด เจอกับ “ปีศาจแดง”แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ชนะ 2 แพ้ 2
เจ้าถิ่นยังยึดระบบ 4-2-2-2 ลงสู้เหมือนเดิม ตัวที่เจ็บก่อนหน้านี้อย่าง ทอม เคลฟเวอร์ลี่ย์, เคราร์ด เดโลเฟว และมิเกล บริสตอส ยังลงไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้มีส่วนร่วมใน 4 นัดแรก ที่มี ทรอย ดีนี่ย์ กัปตันทีมนำทัพ เป็นตัวหลักในเกมรุก โดยมี โรแบร์โต้ เปเรยร่าที่ซัดไปแล้ว 3 เม็ดเดินเกมในแดนกลาง และมีจังหวะเปิดอันตรายจากริมเส้นด้านซ้ายของฟูลแบ๊ก โฆเซ่ โฮเลบาส
ขณะที่ “ปีศาจแดง” ที่คืนฟอร์มก่อนเบรกทีมชาติด้วยการบุกชนะ เบิร์นลี่ย์ 2-0 น่าจะใช้ มารูยาน เฟลไลนี่ ลงมาช่วยตัดเกมแดนกลางให้กับ เนมานญ่า มาติช เพื่อเปิดทางให้ ปอล ป๊อกบา มีอิสระในการทำเกมบุก ส่วนแดนหน้าแม้จะไม่มี มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่ติดแบน แต่ไม่มีปัญหา เพราะตัวจริงคือ เจสซี่ ลินการ์ด กับ อเล็กซิสซานเชซ โดยมี โรเมลู ลูกาคู ปักหอกเป้า
ส่วนโปรแกรมคู่อื่น 21.00 น.นิวคาสเซิ่ล-อาร์เซนอล, ฮัดเดอร์สฟิลด์-คริสตัล พาเลซ, แมนเชสเตอร์ ซิตี้-ฟูแล่ม และบอร์นมัธ-เลสเตอร์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี