การออกสตาร์ทร้อนแรงจนเรียกเสียงฮือฮาในซีซั่นนี้ ทำให้เกิดคำถามมากมายว่า เคยมีใครทำได้แบบนี้
ที่สำคัญ ทีมไหน...ใครคือทีมที่ชนะในการออกสตาร์ทได้มากที่สุด
คำตอบหลายคนอาจจะทราบ แต่เชื่อว่าหลายคนอาจจะไม่ทราบแน่นอน
สถิติตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันของฟุตบอลอังกฤษ เกิดขึ้นมาทั้งหมด 11 นัดติดต่อกันของ “ไก่เดือยทอง” ท็อตแน่ม ฮ็อท สเปอร์
น่าสนใจก็คือ การทำทีมของ วิลเลี่ยม เอ็ดเวิร์ด หรือ “บิลล์” นิโคลสัน ยอดกุนซือจากสคาร์โบโร่ ที่ทั้งตัวทั้งใจทั้งชีวิตทั้งจิตวิญญาณ
ทั้งหมดนี้เขามีให้กับ สเปอร์ส
แดนนี่ บลานซ์ฟลาวเวอร์
นิโคลสัน อยู่กับ สเปอร์ส ตั้งแต่เป็นเด็กฝึกหัด ปี 1936 ก่อนจะขึ้นชุดใหญ่ในอีก 2 ปีต่อมา เป็นนักเตะให้กับ สเปอร์ส ยาวนานถึง 17 ปี ในตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ กับ ในขวา เขาเป็นกำลังสำคัญในการคว้าแชมป์ดิวิชั่น 2 ในซีซั่น 1949-50
ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ ซีซั่นต่อมา สเปอร์ส คว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 หรือลีกสูงสุดสมัยแรกของสโมสรทันที!!!
ก่อนจะแขวนสตั๊ด และเข้าไปเรียนโค้ชกับสมาคมฟุตบอลอังกฤษ ในปี 1955 ก่อนจะรับงานเป็นมือขวาของ วอลเตอร์ วินเตอร์บอทท่อม กุนซืออังกฤษ ไปบอลโลก 1958
กระทั่ง 11 ตุลาคม 1958 บอร์ดบริหารสเปอร์ส ได้เชิญ นิโคลสัน มาคุยเพื่อรับงานกุนซือแทนที่ จิมมี่ แอนเดอร์สัน ที่มีปัญหาสุขภาพ และพาทีมอยู่อันดับ 6 จากท้ายตาราง
ไม่น่าเชื่อว่า เกมแรก นิโคลสัน นำทัพถล่ม เอฟเวอร์ตัน ยับเยินถึง 10-4 และในซีซั่นต่อมา เขาพาทีมชนะ ครูว์ อเล็กซานดร้า 13-2 และนำก่อนในครึ่งแรกถึง 10-0 เป็นสถิติใหม่ของทีม
กระทั่งทีมมาออกสตาร์ทได้อย่างสุดยอดในการเปิดฤดูกาล 1960-61
บิลล์ นิโคลสัน ผู้วางแผนทำให้ สเปอร์ส ออกสตาร์ทดีที่สุดเมื่อ 58 ปีที่แล้ว และยังคงยืนหยัดอยู่ถึงวันนี้
พวกเขาเริ่มต้นด้วยชัยชนะเหนือ เอฟเวอร์ตัน ที่ไวท์ ฮาร์ท เลน 2-0 จากนั้นก็เริ่มเดินเครื่องไล่ทะลวงชัยชนะต่อเนื่อง ถล่มประตูได้เกิน 2 ประตูได้ถึง 8 นัด ก่อนจะเสมอในวันที่ 10 ตุลาคม 1960 ด้วยการเสมอกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในบ้านตัวเอง 1-1
ปีนั้น พวกเขาแพ้นัดแรกต้องเลยมาถึง 12 พฤศจิกายน 1960 โดยบุกไปแพ้ เชฟฟิลด์ เวนส์เดย์ 1-2 ในนัดที่ 17 ก่อนจะปิดซีซั่นด้วยการเป็นแชมป์จากการลงเตะ 42 นัด ชนะ 31 เสมอ 4 แพ้ 7 ยิงได้ถึง 115 ประตู เสีย 55 ลูก
สเปอร์ส ออกสตาร์ทเกมแรกชนะก็จริงแต่อยู่อันดับ 6 แต่หลังจากนั้นพวกเขาอยู่อันดับ 1 มาตลอดตั้งแต่นัดแรกจนถึงนัดสุดท้าย
ยุคนั้น สเปอร์ส กำลังพุ่งขึ้นมาแบบสุดๆ ได้ดับเบิ้ลแชมป์ในปีนั้น ต่อด้วยเอฟเอ คัพ ปี 1962 และครองแชมป์ยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ ปี 1963
เท่ากับ สเปอร์ส ที่ได้แชมป์ฟุตบอลลีก 2 สมัยในประวัติศาสตร์ มีคนชื่อ นิโคลสัน อยู่ในทีมทั้งในฐานะนักเตะ และฐานะผู้จัดการทีม
บ็อบบี้ สมิธ หัวหอกตัวฉกาจของสเปอร์ส ในยุคนั้น
# รู้จักขุนแข้งชุดประวัติศาสตร์
บิลล์ นิโคลสัน ใช้ผู้เล่นทั้งหมด 17 คน ตลอดทั้งฤดูกาล โดยมี 11 ตัวจริงที่ชัดเจนตามแบบฉบับฟุตบอลยุคโบราณ นักบอลไม่จำเป็นต้องพักเพื่อรักษาความสด แต่พร้อมจะบดทุกวินาที ด้วยระบบ 3-4-3 โดยมีตัวสำรอง 1 คนที่ลงเล่นบ่อย
● วิลเลี่ยม “บิลล์” บราวน์
นายประตูทีมชาติสกอตแลนด์ ที่ย้ายมาจาก ดันดี ในปี 1959 ด้วยราคา 16,500 ปอนด์
● ปีเตอร์ บาเกอร์
แบ๊กขวาเด็กเมืองกรุงจากแฮมป์สตีด ย้ายจากทีมเอนฟิลด์ ทีมนอกลีก เมื่อปี 1952 ก่อนจะเป็นนักเตะอาชีพกับ “ไก่เดือยทอง” ก่อนจะยึดตัวหลักลงเล่นกับทีมไป 299 เกม
● รอน เฮนรี่
แบ๊กซ้ายจากโชรดิช ในกรุงลอนดอน เริ่มเล่นจากตำแหน่งเซ็นเตอร์ ก่อนจะขยับไปเล่นแบ๊กซ้าย เป็น “วัน คลับ แมน” ของทีม ลงเล่นรวม 247 นัด
● แดนนี่ บลานซ์ฟลาวเวอร์
ยอดกัปตันทีมตำแหน่งฮาล์ฟขวา เป็นชาวไอร์แลนด์เหนือ เป็นนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมผู้สื่อข่าวของอังกฤษถึง 2 สมัย โดยเฉพาะปี 1961 ฉายฟอร์มโดดเด่น เล่นให้ทีม 10 ปี 337 นัด ซัดไป 15 ประตู ติดทีมชาติไอร์แลนด์เหนือ ถึง 56 นัด
เดฟ แม็คเคย์ ห้องเครื่องของทีมกับภาพอมตะนิรันดร์กาล
● มัวริซ นอร์แมน
เซ็นเตอร์ฮาล์ฟจากนอร์โฟล์ค ที่ย้ายจาก นอริช มาตั้งแต่ปี 1955 และปักหลักเป็นตัวหลักให้ทีมถึงปี 1966 เล่นให้ทีมถึง 357 นัด
● เดฟ แม็คเคย์
เจ้าของภาพ iconic image ที่กระชากคอเสื้อ บิลลี่ เบรมเนอร์ ดาวดังลีดส์ เมื่อปี 1966 เขาเล่นฮาล์ฟซ้าย อยู่กับทีม 9 ปี ตั้งแต่ปี 1959 และติดทีมชาติสกอตแลนด์ 22 เกม
● คลิฟฟ์ โจนส์
ถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในปีกซ้ายที่ดีที่สุดคนหนึ่งตั้งแต่โลกนี้เคยมีมา ดาวเตะจากสวอนซี อยู่กับทีมตั้งแต่ปี 1958 รวม 10 ปี เล่นไป 318 นัด ยิงได้ถึง 135 ประตู และติดธงมังกรแดงเวลส์ ถึง 59 เกม
● จอห์น ไวท์
แกนรุกตัวฉกาจทีมชาติสกอตแลนด์ ที่มีสปีดการเล่นที่รวดเร็ว อยู่กับทีมตั้งแต่ปี 1959 หรืออายุ 21 ปี น่าเสียดายที่ต้องเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ในปี 1964 หลังจากถูกฟ้าผ่าที่สนามกอล์ฟย่านเอนฟิลด์
● บ็อบบี้ สมิธ
กองหน้าตัวแกร่งที่ย้ายจากเชลซี เมื่อปี 1955 มาเล่นให้กับทีมนาน 9 ปี ซัดไปถึง 176 ประตู จากการลงเล่น 271 นัด และติดทีมชาติอังกฤษ 15 เกม เขาเป็นดาวยิงอันดับ 2 ตลอดกาล
ของสโมสร
● เลส อัลเลน
เป็นนักเตะอีกคนที่ย้ายจาก เชลซี มาอยู่เดอะ เลน ด้วยวัย 22 ปี เป็นแกนรุกตัวสำคัญที่ยิงได้ 47 ประตู จาก 119 เกม
● เทอร์รี่ ดายสัน
ปีกตัวกลั่นที่เข้าร่วมทัพ สเปอร์ส จาก สคาร์โบโร่ ทีมนอกลีก เมื่อปี 1955 และอยู่กับทีมนานถึง 10 ปี มีส่วนสำคัญในเกมรุกของทีม โดยยิงได้ 55 ประตู จาก 209 นัด
● เทอร์รี่ เมดวิน
ปีกจากเวลส์ ซึ่งเป็นนักบอล 1 ใน 22 คน จากประเทศเวลส์ ที่เคยเล่นฟุตบอลโลก ย้ายจาก สวอนซี มาอยู่ที่ไวท์ ฮาร์ท เลน ค่าตัว 25,000 ปอนด์
# คนที่ไม่ใช่แต่มีชื่อจำในประวัติศาสตร์
หลายคนเข้าใจคลาดเคลื่อนว่า จิมมี่ กรีฟส์ หัวหอกตัวดังผู้ทำประตูให้กับสโมสรได้มากที่สุด 220 ประตู จาก 321 นัด เป็นกำลังสำคัญของทีมชุดนั้น
อันที่จริงแล้ว กรีฟส์ ย้ายมาร่วมทัพ สเปอร์ส ในเดือนธันวาคม ปี 1961 ซึ่งปีนั้นถือว่า กรีฟส์ วุ่นวายมากๆ
เริ่มจาก กรีฟส์ ย้ายจาก เชลซี ไปอยู่กับ เอซี มิลาน เมื่อเดือนมิถุนายน 1961 ค่าตัว 80,000 ปอนด์ ด้วยสัญญา 3 ปี แต่เขาไม่พอใจการย้ายไปอิตาลี และหลังจากลงเล่นไป 14 นัด ซัดไป 9 ลูก ก็ขอย้าย ซึ่ง มิลาน ก็ไปดึงตัว ดิโน่ ซานี่ มาแทน ทำให้ กรีฟส์ ได้ย้ายกลับอังกฤษสมใจอยาก โดยที่ เชลซี กับ สเปอร์ส อยากได้ตัว ก่อนที่ กรีฟส์ จะเลือกมาอยู่กับ “ไก่เดือยทอง”
เท่ากับเขาจากเอซี มิลาน ด้วยค่าตัว 99,999 ปอนด์ ที่ไม่ถึง 100,000 ปอนด์ก็เพราะ สเปอร์ส ไม่ต้องการให้ กรีฟส์ กดดันกับค่าตัวระดับ 6 หลักคนแรกของประเทศนั่นเอง
หมายความว่า นักบอลที่ยิงได้มากที่สุดของสเปอร์ส ไม่ได้อยู่ในชุดสุดยอดแห่งการสตาร์ทนั่นเอง!!!
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี