“ซูเปอร์ ซันเดย์” วีคนี้ถือว่าอย่างใหญ่ เป็นการโคจรมาปะทะกันของสองทีมจากเมืองที่ปะทะคารมกันมาตลอดกาล นั่นคือ ลิเวอร์พูล กับ แมนเชสเตอร์
หนนี้ฝั่งจากเมืองท่ายังคงสีแดง แต่ฝั่งเมืองผ้าฝ้ายใส่สีฟ้า ในเรื่องของความเบ่งบวมบารมีตั้งแต่ยุคอมตะยังไม่ใช่ อาจจะไม่เทียบเท่ามหาแมทช์แดงเดือดได้
แต่ความเร้าใจถือว่าเกินร้อย
“หงส์แดง” ลิเวอร์พูล จะดวลแบบตัวต่อตัวกับ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่แอนฟิลด์
นาทีนี้ถือเป็นเกมชิงจ่าฝูง ที่สถิติเท่ากันเป๊ะเวอร์ คือชนะฝ่ายละ 6 เสมอ 1 และยังไร้พ่าย
เพียงแต่ ซิตี้ จะเหนือกว่าตรงที่ประตูได้เสีย ที่ทำได้เป็นกอบเป็นกำและมีมากกว่าหงส์อยู่ 6 ลูก
ว่ากันตามเชิง เกมนี้ไม่ได้เป็นเกมชี้ชะตาแชมป์
แต่จะกำหนดทิศทางของการไล่ล่าแชมป์ประจำปีนี้ โดยเฉพาะกับ “ผู้ท้าชิงอย่างเป็นทางการ” นั่นคือ ลิเวอร์พูล
เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือต่อต้านเด็กบูฟื้นฟูเฮฟวี่ เสริมทีมได้น่ากลัว และดูเหมือนจะถูกจุดไปซะหมด พร้อมกับนำทัพออกสตาร์ทได้อย่างน่าเกรงขาม ด้วยการเอาชนะได้ถึง 7 นัดติดต่อกันในทุกรายการ กระทั่งมาหยุดสถิติของตัวเองลงในเกมคาราบาว คัพ กับ เชลซี
จากนั้นพวกเขาก็ยังคงแสดงความแข็งแกร่งในลีก ด้วยการบุกไปแชร์แต้มจากเดอะ บริดจ์ ด้วยการไล่ตีเสมอได้สำเร็จ ซึ่งถือเป็นคุณสมบัติที่ดีมากๆ ในการลุ้นแชมป์
อย่างไรก็ตาม แฟนบอลเดอะ ค็อป ต้องห่อเหี่ยวใจอย่างหนัก เมื่อบุกไปแพ้ นาโปลี 0-1 ในเกมแชมเปี้ยนส์ลีก เมื่อกลางสัปดาห์ เพราะมันไม่ได้แพ้แค่ผลการแข่งขัน
หากว่าเป็นมวยก็คือ แพ้ราบคาบนั่นเอง
เจอร์เก้น คล็อปป์ จะดวลฝีมือกับ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กันอีกที
เมื่อทีมที่กำลังเดินมาดีๆ แต่เมื่อสะดุดคือไม่แปลก แต่การแพ้แบบ “ไม่มีทรง” มันจึงเป็นจุดที่น่าสนใจว่า อะไรมันคืออะไร
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ระหว่างคำว่า “ฟอร์มตก” หรือ “หมดแรง”
การใช้พละกำลังในการเล่น ถือเป็นเรื่องที่ คล็อปป์ เปิดตัวว่า มาสายนี้อยู่แล้ว น่าสนใจว่า มันส่งผลต่อนักฟุตบอลอย่างรวดเร็ว เมื่อเจอเกมแบบ “3 วันครั้ง” ซึ่งเป็นใครก็สะเทือน คนนึงที่ชัดเจนเลยคือ เจมส์ มิลเนอร์ ที่ตกไปอย่างเห็นได้ชัด ทั้งที่เปิดซีซั่นได้ฉูดฉาดสุดๆ
จริงอยู่ที่ปีนี้ คล็อปป์ มีนักเตะให้เลือกมากขึ้น แต่เขาเหมือนกับว่า “เจอแล้ว” กับ “11 ตัวจริงในใจ” ประจำซีซั่น ยกเว้นแค่ตรงกลางที่ต้องรอ นาบี เกอิต้า ลงตัวกว่านี้ จึงสลับกับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน
ทีมชีต 11 ตัวคือ อลิสซอน เบ๊คเกอร์ เฝ้าเสาสร้างความอุ่นใจ, เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ กับ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน เล่นแบ๊กขวา-ซ้าย ขณะที่เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ โจ โกเมซ เคมีตรงกับ เฟอร์จีล ฟาน ไดจ์ค อย่างเหลือเชื่อ
แผงกลาง มิลเนอร์ กับ จอร์จินโญ่ ไวจ์นัลดุม เป็นแกนหลัก โดยมี เกอิต้า กับ เฮนโด้ สลับกันลง ส่วน 3 ประสานเกมรุกเหมือนเดิม โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน่ และโรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่
ประเด็นคือ สำรองไม่ได้ใช้บ่อยนัก
จัดเกรดคือลงเล่นได้เลยอย่าง แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ กับ เชอร์ดาน ชาคิรี่ ขณะที่ ฟาบินโญ่ รอเวลาให้เข้าที่เหมือนกับยุคที่ เอ็มเร่ ชาน กว่าจะคลิกระบบ หรือจะเป็น เดยัน ลอฟเรน กับ โฌแอล มาติป อดีตเซ็นเตอร์ตัวจริง ยังฟิตไม่พอ และดูเหมือนจะเบียดกับ โกเมซ เริ่มยากขึ้น
อย่างไรก็ตามที่เหลือเลยไปจากนี้ ศักยภาพ “เริ่มห่าง” จากตัวจริง
หมายว่า คล็อปป์ จึงไม่ค่อยเรียกใช้ แต่บรรทัดก่อนหน้านี้ ทำไมไม่ค่อยใช้ และการแก้เกมกับเปลี่ยนตัวยังแปลกๆ
อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ผู้สร้างความแตกต่างตลอด 3 เกมหลังแต่หนนี้ไม่ได้ลง
ตัดสินใจเร็วถอดเอา ชาคิรี่ ออกตั้งแต่หมดครึ่งแรกได้ แต่กว่าจะปรับทัพในเกมที่เป็นรองแบบสุดลิ่มกับ นาโปลี ดันเลือกตัวที่สองลงไปในนาทีที่ 75 และตัวที่สามเมื่อเหลืออีกไม่ถึง 5 นาที
อีกจุดคือ “แผนแรก” คือ “แผนเด็ด” จริงๆ ของ คล็อปป์ เพียงแต่เมื่อ “แผนแตก” เขามักจะไม่สามารถจะพาทีมกลับมาได้
หนักสุดก็คือ แรงกระเพื่อมจากภายนอก ที่ส่งผลถึงภายใจ เรื่องของ “ความเป็นหนึ่งเดียว” ระหว่าง ซาล่า กับ มาเน่ ยังเป็นคำถามที่คาใจและติดอยู่ในใจกองเชียร์ว่า คู่นี้มันยังไงกันแน่
ผมมองว่าคู่นี้รวมไปถึง ฟีร์มิโน่ ถึงความน่าประหลาดใจตรงที่ทำไมถึงเล่นเหมือนกดดันตัวเอง และขาดความเป็นธรรมชาติแบบไม่ควรจะเป็น
ฟีร์มิโน่ ไม่นิ่งพอ, ซาลาห์ จ้องจะยิง ส่วน มาเน่ มีปัญหาโดยตรงเรื่องการตัดสินใจ
อีกคนหนึ่งที่ไม่เป็นธรรมชาติก็คือ อลิสซอน จากที่เคยมั่นใจสุดๆ ในการใช้เท้าสามารถดึงจังหวะที่จะเปิดเกม แต่พอพลาดกับเกมที่เลสเตอร์ เขา “จำเป็น” ต้องออกบอลเร็วกว่าเดิม แน่นอนว่าขาดความแม่นยำไปเยอะมาก
ลองสังเกตดูดีๆ เรื่องการเซฟหรือการยืนตำแหน่งยอดเยี่ยมอยู่แล้ว แต่เรื่องการเล่นบอลด้วยเท้าเพื่อออกบอลที่เป็นจุดที่ช่วยทีมได้ นาทีนี้เขาจำเป็นต้องลดลง เพื่อรับประกันความผิดพลาด
เท่ากับนาทีนี้ ลิเวอร์พูล มีปัญหาเรื่องพละกำลัง กับความมั่นใจในบางจุด
ขณะที่ แมนฯซิตี้ ยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยมาตรฐาน อันที่จริงพวกเขาออกสตาร์ทได้ดีมาก แต่ด้วยการที่ ลิเวอร์พูล กับ เชลซี โกยอ้าวชนะรวด ทำให้เกิดภาพจำ และลืม ซิตี้ ไปชั่วขณะ แต่เมื่อ เชลซี พลาดเสมอ เวสต์แฮม และจากนั้น เชลซี ก็มาเสมอกันเองกับ ลิเวอร์พูล ส่งผลให้ 3 สัปดาห์จ่าฝูงผู้ดีเปลี่ยนมือมาโดยตลอด
จาก เชลซี มาเป็น ลิเวอร์พูล และตอนนี้คือ แมนฯซิตี้
ทีมของเป๊ป ออกสตาร์ทเหมือนกับปีก่อนคือ สะดุด 1 นัดด้วยผลเสมอ ปีก่อนกับ เอฟเวอร์ตัน ปีนี้กับ วูล์ฟส์ แต่จากนั้นพวกเขาชนะรวด บวกกับยิงประตูแบบถล่มทะลาย
ปีนี้เหมือนกับว่า พวกเขาไม่ได้ซื้อใครอะไรมาก นั่นก็เพราะว่า การซื้อมาแบบถล่มทลายก่อนหน้านี้ ทำให้ทีมมีตัวเลือกเยอะมาก และสิ่งที่ เป๊ป เติมเข้าไปในปีนี้นั่นก็คือ ความยืดหยุ่นในเกม
การขาด เควิน เดอ บรอยน์ หัวใจสำคัญในการออกบอล แทบไม่มีปัญหา เมื่อแผลนี้ถูกปิดด้วยการ “สลับกันเล่น” อย่างเป็นระบบ และดูลงตัวที่สุดในบรรดา 3 ทีมที่ยังไม่ได้ลิ้มรสความพ่ายแพ้
11 ผู้เล่นตัวจริงของ เป๊ป ยังเดากันแทบไม่ถูกว่า ใครจะได้ลงเล่นบ้าง เนื่องจากนักบอล 1 คนสามารถลงไปยืนได้หลายตำแหน่ง และทำให้ระหว่างเกม สามารถสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป โดยเฉพาะแผนที่เหมือนกับจะเล่น 4-3-3 แต่จริงๆ แล้ว มันเหมือนกับ 3-4-3 ที่หมุนจนลงตัว
สิ่งสำคัญคือ มิดฟิลด์ การมี ดาบิด ซิลบา, แบร์นาโด้ ซิลวา, อิลคาย และแฟร์นานดินโญ่ รวมไปถึง เดอ บรอยน์ ที่ทดแทนกันได้หมด รวมไปถึงตัวรุกที่เพิ่ม ริยาด มาห์เรซ เป็นทางเลือกตัวที่ 5 ต่อจาก เซร์คิโอ อเกวโร่, กาเบรียล เฮซุส, ลีรอย ซาเน่ และราฮีม สเตอร์ลิ่ง
10 คนนี้อยู่ที่ไหนก็ตัวจริงสบาย แต่ที่นี่ต้องการ 6 คนลงสนาม
มองภาพเหมือนกับว่า ซิตี้ จะไร้รอยต่อ และดูเนียนตาอย่างที่สุด อันนี้ต้องพยักหน้ายอมรับ เพียงแต่แผนนี้ ที่หมุนไปหมุนมา เจอกับ “เกเก้น เพรสซิ่ง” 3 หนหลังกลับกลายเป็นว่า ปัญหาเกิดขึ้นทุกที เริ่มจากการพ่ายแพ้นัดแรกของซีซั่นเมื่อปีก่อน ตามด้วยแพ้แบบไร้รูสู้ทั้งสองนัดในรอบ 8 ทีมแชมเปี้ยนส์ลีก
น่าสนใจก็คือ แผงกลางของลิเวอร์พูล ทั้ง 3 เกมที่เจอนั้น เป็นนักเตะระดับมีทั้งพลังและมันสมอง ในเกมพรีเมียร์ลีก สกอร์ 4-3 คือ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน, ชาน และไวจ์นัลดุม จากนั้นสกอร์ 3-0 ในแชมเปี้ยนส์ลีก คือ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน, เฮนโด้, มิลเนอร์ และบุกชนะ 2-1 คือ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน, มิลเนอร์ และไวจ์นัลดุม
สังเกตว่าใครจะไปใครจะอยู่ ต้องมีชื่อของ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน อยู่ตลอด
นั่นคือนักบอลที่สามารถจะเปลี่ยนจังหวะของเกมได้ทันที และไปกับตัวเองได้ แต่ตอนนี้ดาวเตะทีมชาติอังกฤษเจ็บหนัก คนที่ทำได้แบบเดียวกันมีคนเดียวตอนนี้แต่ก็เพิ่งเจ็บมาไม่รู้จะไหวหรือไม่นั่นคือ นาบี เกอิต้า
ฟุตบอลหากทำลายล้างเกมคู่แข่งได้ ก็ต้องมีมันสมองที่ปั้นเกมให้กับทีมด้วยเช่นกัน ดังนั้น หากเป็น เฮนโด้, มิลเนอร์ และไวจ์นัลดุม มันดูเรียบง่ายเกินไป ที่จะกำราบ แมนฯซิตี้ ในชั่วโมงนี้
ดูแล้วโอกาสเป็นไปได้สูงมากที่ คล็อปป์ เองก็รู้อยู่แก่ใจ แต่จำเป็นจะต้องเลือกชุดนี้ลงสนาม หรือจะผ่าทางตันส่ง ฟาบินโญ่ ที่ไอคิวฟุตบอลไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าคนอื่น ลงเล่นไปเลย
รู้ว่าเสี่ยง แต่น่าจะต้องลองบ้าง เพราะถ้าใช้ 3 จอมฟิตยังไงก็เป็นรองแน่ๆ
อันเนื่องมาจากว่า บทสรุปเกมนี้ มันคือโอกาสที่ ลิเวอร์พูล จะกลับมาในทุกสิ่งอย่าง หากว่าชนะ
มันจะทำให้พวกเขาคืนชีพ และนำยาว 2 สัปดาห์ในช่วงฟีฟ่าเดย์ และประกาศให้โลกรู้ว่า พร้อมกับการท้าทายบัลลังก์แชมป์ เพราะเรื่องใจนี่แหละสำคัญ
แต่ถ้าทุกอย่างออกมาตรงกันข้าม เสมอไม่เท่าไหร่ หากเลยเถิดไปถึงคำว่าแพ้
ทุกอย่างจะถาโถมกลับมาดุจพายุลูกใหญ่ และอาจจะทำให้ภาพยนตร์เรื่องการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้
ฉายหนังซ้ำ ม้วนเดียวกับซีซั่นที่แล้ว...............
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี