วันที่ 6 สิงหาคม 2010 มีข่าวว่า กลุ่มคิง เพาเวอร์จากประเทศไทยเตรียมเข้าซื้อหุ้น 49 เปอร์เซ็นต์ ของสโมสรฟุตบอล เลสเตอร์ ซิตี้ ในลีกแชมเปียนชิพของอังกฤษ
กลุ่มนี้มี นายวิชัย รักศรีอักษร ซีอีโอของบริษัท พร้อมทีมงาน เดินทางไปที่ประเทศอังกฤษเพื่อเจรจาตกลงในขั้นสุดท้าย คาดว่าราคาอยู่ระหว่าง 1,200-1,400 ล้านบาท
ในตอนแรกที่เป็นข่าวออกมาคือการซื้อ 49 เปอร์เซ็นต์ แต่หลังจากนั้นมีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการที่เมืองไทย ที่ห้องอินฟินิตี้ 1 โรงแรม พูลแมน คิง เพาเวอร์ เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2010
นายวิชัยกล่าวว่า บริษัท “คิง พาวเวอร์” ได้ถือหุ้นสโมสร 100 เปอร์เซ็นต์ เป็นที่เรียบร้อย หลังจากบรรลุข้อตกลงซื้อหุ้นจาก มิลาน แมนดาริช ประธานสโมสรเรียบร้อย แต่ไม่สามารถเผยจำนวนเงินที่แน่นอนได้ อย่างไรก็ตาม อาจขายหุ้น 49 เปอร์เซ็นต์ ให้กับนักลงทุนรายอื่น ซึ่งมีหลายชาติในเอเชียติดต่อมาแล้ว โดยเฉพาะอินโดนีเซีย และสิงคโปร์
เหตุผลครั้งนั้น นายวิชัยบอกว่า อยู่อังกฤษมาหลายสิบปี คิดอยู่เสมอว่า ก็อยากจะซื้อทีมฟุตบอลสักทีม ไม่ได้อยากทำการค้า แต่เห็นเด็กและเยาวชนบ้านเราก้าวไปไม่ถึงไหน อยู่แค่ระดับอาเซียน ในเอเชียก็ไม่เคยชนะเกาหลี ญี่ปุ่น เมื่อวันนี้มาถึง ผมพอมีกำลัง มีสตางค์ จึงซื้อ โดยพื้นฐานเป็นคนชอบกีฬา ทำกีฬาโปโลมา 15 ปี มีข้อจำกัดคนมีโอกาสเล่นน้อยมาก ต่างจากหันมาทำฟุตบอล คนส่วนมากจะได้ประโยชน์
ก่อนหน้านั้น ก็เคยนำแบรนด์ของตัวเองมาเป็นสปอนเซอร์สนับสนุนทีมเชลซีมาหลายครั้งช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา และซื้อโฆษณาบนขอบสนามการแข่งขันระดับแชมเปี้ยนชิพและบอลยุโรป สมัยนั้นเป็นก้าวแรกการเข้าสู่เส้นทางฟุตบอลระดับโลก
หลังจากผ่านขั้นตอนการตรวจสอบของอังกฤษ “คิง เพาเวอร์” จึงเข้าเป็นเจ้าของเลสเตอร์ เต็มตัว เริ่มซีซั่น 2010-11 ด้วยการแต่งตั้ง เปาโล ซูซ่า อดีตมิดฟิลด์ตัวเทพของทีมชาติโปรตุเกส มาเป็นกุนซือ ก่อนจะมีการเทคโอเวอร์ นับเป็นกุนซือนอกสหราชอาณาจักรคนแรกในประวัติศาสตร์ทีม 125 ปี
แต่ ซูซ่า ทำงานได้เพียงแค่ 9 นัดก็ต้องถูกปลดจากตำแหน่งเมื่อพาทีมจมบ๊วยของเดอะ แชมเปี้ยนชิพ และถูกปลดเมื่อ 1 ตุลาคม 2010 และให้หลัง 2 วัน ทีมก็แต่งตั้ง สเวน โกรัน เอริคส์สัน กุนซือร้อยรักเข้ามาทำงาน
จากนั้นทีมผลงานดีขึ้นเรื่อยๆ และในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2011 นายวิชัย เข้ารับตำแหน่งประธานสโมสรเป็นที่เรียบร้อย ก่อนที่ทีมจะจบอันดับ 10 ในปีนั้น
ซีซั่นใหม่ 2011-12 ทีมเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง เมื่อเปลี่ยนชื่อสนามจาก วอล์คเกอร์ สเตเดี้ยม มาเป็น “คิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม”
ออกสตาร์ทซีซั่น หลังจากผ่านไป 13 เกม เมื่อทีมแพ้ มิลล์วอลล์ ยับเยิน 0-3 ตกมาอยู่อันดับ 13 ทำให้ปลดกุนซืออีกครั้ง
เอริคส์สัน ตกงานเมื่อ 24 ตุลาคม 2011 ทำให้ต้องใช้ จอน รัดกิ้น กับ ไมค์ สโตเวลล์ คุมทัพขัดตาทัพ กระทั่งเจรจากับ ไนเจล เพียร์สัน อดีตกุนซือของทีมที่เพิ่งออกจากตำแหน่งไปเมื่อ 17 เดือนก่อน กลับเข้ามาทำงานอีกครั้งในวันที่ 15 พฤศจิกายน
พร้อมกับนำ เคร็ก เช็คสเปียร์ และ สตีฟ วอลช์ กลับมาทำงานร่วมกันอีกครั้ง
ปีนั้น เลสเตอร์ ดึงนักเตะทั้งจ่ายเงินและเซ็นฟรีมาร่วมทัพถึง 17 คน โดยมีชื่อของ แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล, เวส มอร์แกน และแดนนี่ ดริงค์วอเตอร์ ที่เป็นแกนหลักในชุดปัจจุบันรวมอยู่ด้วย ซึ่ง มอร์แกน เป็นกัปตันทีมตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้
ก่อนจะมีผลงานจบอันดับที่ 9 แต่เข้าถึงรอบ 8 ทีมในเอฟเอคัพ
มาถึงซีซั่น 2012-13 พวกเขาเสริมทัพอีก 11 คน หนึ่งในนั้นคือนักเตะจากนอกลีกที่เป็นกองหน้าจากฟลีตวู้ด ทาวน์ นั่นคือ เจมี่ วาร์ดี้ ในราคา 1 ล้านปอนด์
พร้อมกับเปลี่ยนแบรนด์เสื้อทีมจาก “Burrda” มาเป็น “NIKE”
ปีนั้น นายวิชัยและครอบครัว ได้รับพระราชทานชื่อสกุล “ศรีวัฒนประภา” เพื่อเป็นสิริมงคลแก่วงศ์สกุล ตามประกาศในราชกิจจานุเบกษาในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2555
เลสเตอร์ จบซีซั่นด้วยการเป็นอันดับ 6 ได้สิทธิ์เพลย์ออฟลุ้นเลื่อนชั้น และมีโอกาสที่จะได้ชิงเมื่อรอบตัดเชือกนัดแรก ชนะ วัตฟอร์ด ได้ก่อน 1-0
มาถึงเกมที่ 2 เลสเตอร์ ตามหลัง วัตฟอร์ด 1-2 เกมมาถึงช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีที่ 6 เกิดเหตุการณ์เหลือเชื่อ เมื่อ เลสเตอร์ ได้จุดโทษ อองโตนี่ย์ น็อคการ์ต ยิงไปติดเซฟ มานูเอล อัลมูเนีย ก่อนจะซ้ำดาบสองไปติดเซฟอีกที
ซึ่งจังหวะต่อเนื่องบอลถูกเปิดมาให้ เฟร์นานโด ฟอเรสเตียรี่ โยนไปเสาสองให้ โจนาธาน ฮ็อกก์ โหม่งตั้งให้ “ไอ้นกแก้วป่วย” ทรอย ดีนี่ย์ สังหารให้ วัตฟอร์ด ชนะ 3-1 เข้าชิงด้วยสกอร์รวม 3-2
อย่างไรก็ตามซีซั่นต่อมา เลสเตอร์ ผงาดคว้าแชมป์เดอะ แชมเปี้ยนชิพ ได้สำเร็จ!!!
ฤดูกาล 2013-14 เพียร์สัน เสริมทัพน้อยลง นำนักเตะเข้ามาเพียง 7 คน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ริยาด มาห์เรซ ดาวเตะแอลจีเรีย ในช่วงหน้าหนาว
กุญแจสำคัญคือเกมรุก เดวิด นูเจนท์ หัวหอกตัวเก๋าซัดไป 20 ประตู เจมี่ วาร์ดี้ เริ่มฉายแววยิงได้ 16 ประตู แต่คนที่เล่นได้ยอดเยี่ยมจนได้เป็นนักเตะแห่งปีคือ แดนนี่ ดริงค์วอเตอร์ อดีตเด็กแมนยูฯ ที่ถูกปล่อยตัวมา
เลสเตอร์ นำจ่าฝูงตั้งแต่วันบ็อกซิ่งเดย์ จากนั้นก็นำยาวจนกระทั่งได้เลื่อนชั้นแน่นอนก่อนปิดซีซั่นถึง 6 เกม และเป็นแชมป์ในการพิชิต โบลตัน 1-0 ก่อนปิดซีซั่น 2 นัด ในวันที่ 23 เมษายน 2014
ก่อนจะทำสถิติในลีกแข่ง 46 เกม ชนะ 31 เสมอ 9 แพ้ 6 ยิงได้ 83 เสีย 43 ทำแต้มได้ถึง 102 คะแนน
ทำให้พวกเขาเป็นแชมป์ระดับดิวิชั่น 2 สมัยที่ 7 ในประวัติศาสตร์ทีม พร้อมกับคัมแบ๊กสู่ลีกสูงสุดอีกครั้งหลังจากต้องตกชั้นลงมาอยู่ลีกรองเมื่อซีซั่น 2003/2004 หรือกว่า 10 ปีเต็ม
พร้อมกับนำทัพมาฉลองที่เมืองไทย โดยตั้งเป้าเอาไว้ว่า จะติดท็อป 5 ของพรีเมียร์ลีกให้ได้ภายใน 3 ปี และขอลุ้นแชมป์ฟุตบอลถ้วย
ทีมเสริมทัพด้วยการคว้า เลโอนาร์โด้ อุลยัว กองหน้าอาร์เจนตินา มาจากไบรท์ตัน รวมถึงเลือกเซ็นฟรีกับ เอสเตบัน กัมบิอาสโซ่ มิดฟิลด์จอมเก๋าอาร์เจนไตน์
เลสเตอร์ ทำท่าจะไม่รอดเมื่อจมบ๊วยอยูท้ายตารางนานถึง 4 เดือนครึ่ง แต่เกิดเรื่องมหัศจรรย์ขึ้น เมื่อพวกเขาเร่งเครื่อง ด้วยการชนะ 7 จาก 9 เกม พร้อมกับคว้า 22 จาก 27 แต้มสุดท้ายของซีซั่น ทำให้รอดพ้นการตกชั้นและจบซีซั่นด้วยอันดับ 14
พวกเขาเดินทางมายังเมืองไทยอีกครั้ง แต่คราวนี้กลับมีข่าวฉาวเกิดขึ้น
วันที่ 31 พฤษภาคมปีที่ผ่านมา เว็บไซต์มิร์เรอร์ของอังกฤษ รายงานคลิปอื้อฉาวของนักเตะเลสเตอร์ ขณะกำลังมีเซ็กซ์กับสาวไทยระหว่างเดินทางมาช่วงปิดฤดูกาลที่ไทย โดยในคลิปนักเตะดังพูดจาดูถูกเหยียดหยามผู้หญิงไทยอย่างชัดเจน
นักบอลดังกล่าวคือ เจมส์ เพียร์สัน กองหลังวัย 21 ปี ลูกชายของ ไนเจล เพียร์สัน กุนซือของเลสเตอร์, ทอม ฮูเปอร์ ศูนย์หน้า และ อดัม สมิธ ผู้รักษาประตูสำรอง ทั้งหมดถ่ายคลิปกำลังมีเซ็กซ์กับสาวไทยที่โรงแรม
จากนั้น สโมสรได้แถลงการณ์ยืนยันเมื่อวันพุธที่ 17 มิถุนายน ที่ผ่านมาว่า ได้จัดการยกเลิกสัญญากับ 3 นักเตะฉาวเรียบร้อย
หนักยิ่งกว่านั้น ในวันที่ 1 กรกฎาคม เลสเตอร์ ประกาศปลด ไนเจล เพียร์สัน ออกจากตำแหน่งกุนซือท่ามกลางเสียงวิจารณ์ว่า ทำไมถึงปลดคนที่พาทีมขึ้นชั้นและรอดตกชั้นคนนี้
ประเด็นคือ เพียร์สัน อันที่จริงจะถูกปลดในช่วงที่ทีมกำลังฟอร์มย่ำแย่ แถมเขายังมีปัญหาเรื่องพฤติกรรม หลังจากพูดจาหยาบคายใส่แฟนบอลของตัวเองออกสื่อ, ด่ากราดนักข่าวถึง 2 ครั้ง 2 ครา และ มีเรื่องมีราวกับ เจมส์ แม็คอาร์เธอร์ ดาวเตะพาเลซ
แต่ประเด็นเรื่องการไล่ลูกชายของเขาออกจากทีม น่าจะเป็นประเด็นมากที่สุด
ในช่วงนั้นมีรายชื่อกุนซือต่างๆ มากมายที่จะมาทำงานทั้ง แซม อัลลาไดซ์ อดีตกุนซือเวสต์แฮม ยูไนเต็ด คือตัวเต็ง ตามมาด้วย นีล เลนน่อน, มาร์ติน โอนีล, สตีฟ คอตเตอร์ริล, เดวิด มอยส์, ฌอน ไดช์, โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ และ ไมเคิ่ล เลาดรู๊ป อยู่ในข่ายแคนดิเดต
สุดท้ายหวยมาออกที่ “มิสเตอร์ทิงเคอร์แมน” เคลาดิโอ รานิเอรี่
พอชื่อนี้โผล่มา มีแต่เสียงแต่ “ยี้” ไม่มีเสียง “เย้”
ดังนั้นไม่แปลกที่อัตราต่อรองแชมป์จะอยู่ที่ 5,000-1 และเป็นเต็งตกชั้น เพราะ รานิเอรี่ เหมือน “มวยตกยุค” และทำทีมชาติกรีซ แพ้กระทั่ง หมู่เกาะแฟโร
แต่ผลงานกับสวนทางกับความคาดหมายอย่างเหลือเชื่อ
ทีมเซ็นสัญญา โรเบิร์ต ฮูธ อย่างถาวรในราคา 3 ล้านปอนด์ หลังจากยืมมาในช่วงเปิดตลาดหน้าหนาว, คริสเตียน ฟุชส์ มาฟรีจากชาลเก้ 04, ชินจิ โอคาซากิ หัวหอกญี่ปุ่นมาจากไมนซ์ 7 ล้านปอนด์, ตัวเก๋าอย่าง ก๊อกคาน อินแลร์ 3 ลานปอนด์ รวมไปถึงตัวละครลับอย่าง เอ็นโกโล่ ก็องเต้ มิดฟิลด์ตัวรับจากก็อง ในราคา 5.6 ล้านปอนด์
แต่ผลงานกับสวนทางกับความคาดหมาย อย่างเหลือเชื่อ
สุดท้าย เลสเตอร์ ก็สร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2015-16 เมื่อคืนวันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม 2559
เป็นการครองแชมป์ลีกสูงสุดเป็นครั้งแรก ในประวัติศาสตร์สโมสร 132 ปี โดยก่อนหน้านี้ผลงานดีที่สุดของ "เดอะ ฟ็อกซ์" คือการคว้าตำแหน่งรองแชมป์ในซีซั่น 1928-29
การคว้าแชมป์ของ เลสเตอร์ ได้กลายเป็นอีก 1 ตำนานของบอลอังกฤษและวงการลูกหนังโลก จากสโมสรที่เคยต้องดิ้นรนตกชั้นเมื่อฤดูกาลก่อน และถูกวางให้มีอัตราต่อรองที่จะ คว้าแชมป์ถึง 5,000-1 จากวันนี้ชื่อของคณะผู้บริหาร, ผู้จัดการทีม และลูกทีมจะเป็นที่กล่าวขานตลอดกาล
พร้อมสถิติต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างมากมาย ยิ่งไปกว่านั้นแฟนบอลรายหนึ่งโกยเงินถึง 100,000 ปอนด์ จากการลงทุนแค่ 20 ปอนด์เท่านั้น และ และ และ อื่นๆ อีกมากมาย
นี่คือฝันของแฟนบอล ฝันของคุณวิชัย ที่ต้องบอกว่า “เกินฝัน” กับความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ 132 ปีของการก่อตั้งสโมสร คือความมหัศจรรย์
จากนี้ไปคือตำนานตลอดกาล...................
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี