ศึกลูกหนังที่สร้างความวุ่นวายในระบบสูบฉีดโลหิตของแฟนฟุตบอลอย่าง “ยูฟ่า เนชั่นส์ลีก” ผ่านกระบวนการสรรหาเป็นที่เรียบร้อย ได้ทีมเข้าสู่รอบตัดเชือกที่จะไปใส่กันต่อไปปีหน้า
หลายคนบอกจบๆ ไปก็ดี โดยเฉพาะสโมสรต้นสังกัด เพราะแทนที่จะเป็นเกมระดับ “กระชับมิตร” แต่กลายเป็นบอล “สร้างศัตรู” และทำให้นักบอลของหลายทีมต้องกรำศึกต่อเนื่องตั้งแต่
ซีซั่นก่อน เรื่อยมาจนถึงบอลโลก จนเปิดซีซั่นใหม่ ต้องมาใส่กันเต็มเหยียดในเนชั่นส์ลีก
เอาเข้าจริง รายการนี้พินิจให้ดี ถือว่าจุดดีก็คือ ฟุตบอลไม่ได้เตะกันไปแบบงั้นๆ แต่มีเป้าหมายมากยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะการเข้ารอบ “ไฟนอล โฟร์” ครั้งนี้มีอะไรให้พูดถึงเยอะมาก
บนรายชื่อของทั้ง 4 ทีม ประกอบด้วย อังกฤษ, เนเธอร์แลนด์, โปรตุเกส และสวิตเซอร์แลนด์
ถือว่าพลิกล็อกอย่างแท้จริง แม้ว่าการแข่งขันจะเป็นระบบสั้นๆ เตะแค่ 4 นัด แต่มันก็สะท้อนอะไรให้เห็นหลายๆ อย่างจริงๆ
เริ่มจาก อังกฤษ ที่ทำท่าจะไม่รอด แต่กลับบุกไปทุบ สเปน คาถิ่น และมาบดชนะ โครเอเชีย ลบแค้นจากบอลโลกได้สำเร็จ ในเกมสุดท้าย ซึ่งชัยชนะนัดนี้ ถือว่าปี 2018 ของ อังกฤษ จบลงอย่างงดงาม และประสบความสำเร็จอย่างเหลือเชื่อ
อังกฤษ
อังกฤษต้นตำรับลูกหนัง ที่มักจะถูกตราหน้าว่า “ไอ้ขี้แพ้” สามารถชนะรอบน็อกเอาท์รายการสำคัญตั้งแต่ ปี 2006, ยิงจุดโทษชนะหนแรกในบอลโลก, เข้ารอบรองชนะเลิศ ฟุตบอลโลก เป็นหนแรกในรอบ 28 ปี และ เข้าไปลุ้นแชมป์เนชั่นส์ลีก ที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
ขณะที่ “นาฬิกา” ทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ กลายเป็นม้ามืดอย่างเต็มตัว เมื่อแสดงให้เห็นถึงพลังแฝงที่มีอยู่ หลังจากพลิกสถานการณ์ที่ตกเป็นรอง “ปีศาจแดง” ทีมชาติเบลเยียม ทีมอันดับ 3 บอลโลก 0-2 กลับมาถล่ม 5 ประตูรวด เอาชนะไปได้อย่างสุดมันส์ 5-2 ทำให้ สวิตเซอร์แลนด์ ได้เข้ารอบรองชนะเลิศได้แบบพลิกล็อกถล่มทลาย
เช่นเดียวกันกับ เนเธอร์แลนด์ ทำผลงานด้วยการปราบทั้ง เยอรมนี และฝรั่งเศส ในถิ่นตัวเอง ก่อนจะบุกไปเก็บ 1 แต้ม สำคัญบนถิ่นดอยช์ ทำให้แข้งดัทช์แมน มี 7 แต้มเท่า ทีมชาติฝรั่งเศส แต่ “เฮด ทู เฮด” ดีกว่าทะยานคว้าแชมป์กลุ่ม ดับฝันทัพตราไก่แชมป์โลกได้สำเร็จ
โปรตุเกส
“ดัทช์แมน” ตีตั๋วเข้าตัดเชือกได้สำเร็จ แบบหักปากกาเซียน เพราะพวกเขาตกต่ำดำดิ่งอย่างมากกับ 2 รายการใหญ่ระดับเมเจอร์ทั้ง ยูโร 2016 และบอลโลก 2018 ที่ไม่ผ่านรอบคัดเลือก
อีกหนึ่งทีมคือ โปรตุเกส อันนี้ถือว่าน่าสนใจสุดๆ เพราะการลงเล่นทั้ง 4 นัด ไม่มี คริสติอาโน่ โรนัลโด้ อยู่ในทีมแม้แต่เกมเดียว แต่สามารถเข้ารอบได้ตั้งแต่จบเกมนัดที่ 3 มีน้ำหนักที่ชัดเจนว่า พวกเขากำลังเดินหน้าเข้าสู่ยุคใหม่
ยุคที่กำลังจะไม่มี โรนัลโด้ แบบเต็มตัว และแสดงให้เห็นว่า แชมป์ยูโร 2016 ทีมนี้ยังมองข้ามไม่ได้จริงๆ
แน่นอนว่า เมื่อมีทีมประสบความสำเร็จ ย่อมมีทีมที่ล้มเหลวไม่เป็นท่า และชัดเจนที่สุดแบบแทบจะหมดราคาก็คือ “อินทรีเหล็ก” เยอรมนี ที่อยากจะลบความทรงจำในหน้าประวัติศาสตร์ของประเทศ ที่ถือว่าย่ำแย่ที่สุดตั้งแต่มีฟุตบอลมา
ทีมของ โยอาคิมเลิฟ เหมือนกับยังไม่หายเมาหมัดจากฟุตบอลโลก เมื่อไม่ชนะใครเลยในการแข่ง เนชั่นส์ ลีก หนนี้ แถมยังสะกดคำว่าชนะไม่เป็นในเกมอย่างเป็นทางการถึง 5 นัดติดต่อกัน ถือเป็นผลงานที่เลวร้ายที่สุดของพวกเขานับตั้งแต่ปี 1978 ส่วนหนึ่งมาจากแนวรับที่เคยแกร่ง แต่กลับเปราะบาง ตลอดทั้งปี 2018 พวกเขาเก็บคลีนชีทได้เพียงแค่ 2 เกมเท่านั้น
สวิตเซอร์แลนด์
ปีนี้พวกเขายังทำสถิติใหม่ที่ไม่อยากจำด้วยการพลาดท่าปราชัยไปถึง 6 นัด ในปีปฏิทินเดียวกันครั้งแรกในประวัติศาสตร์
ลงเล่นไปทั้งหมด 12 นัด ชนะได้แค่ 4 แพ้ไปถึง 6 เกม
เมื่อบทสรุปจบลง การจัดอันดับล่าสุดประจำเดือนพฤศจิกายนของ สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป หรือ ยูฟ่า เพื่อจัดลำดับทีมที่มาจับสลากแบ่งกลุ่มฟุตบอลยูโร 2020 ที่มีทั้งหมด 10 กลุ่ม ปรากฏว่า เยอรมนี ตกไปอยู่อันดับที่ 11 ทำให้ต้องหลุดไปอยู่โถ 2 พร้อมกับไม่ได้เป็นทีมวางแบบเหลือเชื่อ เนื่องจากค่าเฉลี่ยสู้ โปแลนด์ ไม่ได้
เป็นภาพที่เชื่อว่า แฟนบอลก็คงไม่กล้าคิดมาก่อนเหมือนกันว่า เยอรมนี จะเป็นแบบนี้
ทำให้การจับสลากรอบแบ่งกลุ่มที่จะมีขึ้นในวันที่ 2 ธันวาคมนี้ ที่ เดอะ คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ กรุงดับลิน ประเทศสาธารณรัฐไอร์แลนด์ ทีมที่ได้เป็นทีมวาง 10 ทีมแรกมีดังนี้ สวิตเซอร์แลนด์, โปรตุเกส, เนเธอร์แลนด์, อังกฤษ, เบลเยียม, ฝรั่งเศส, สเปน, อิตาลี, โครเอเชีย และโปแลนด์
เยอรมนี หลุดมาอยู่โถ 2 ร่วมกับ ไอซ์แลนด์, บอสเนีย, ยูเครน, เดนมาร์ก, สวีเดน, รัสเซีย, ออสเตรีย, เวลส์ และเช็ก
โถ 3 สโลวาเกีย, ตุรกี, สาธารณรัฐไอร์แลนด์, ไอร์แลนด์เหนือ, สกอตแลนด์, นอร์เวย์, เซอร์เบีย, ฟินแลนด์, บัลแกเรีย และอิสราเอล
โถ 4 ฮังการี, โรมาเนีย, กรีซ, แอลเบเนีย, มอนเตเนโกร, ไซปรัส, เอสโตเนีย, สโลวีเนีย, ลิทัวเนีย และจอร์เจีย
โถ 5 มาซิโดเนีย, โคโซโว, เบลารุส, ลักเซมเบิร์ก, อาร์เมเนีย, อเซอร์ไบจาน, คาซัคสถาน, มอลโดว่า, ยิบรอลตาร์ และ แฟโร ไอส์แลนด์ส
โถ 6 ลัตเวีย, ลิคช์เทนสไตน์, อันดอร์ร่า, มอลต้า และซาน มารีโน่
เนเธอร์แลนด์
การแบ่งสายจะมีทั้งหมด 10 กลุ่ม โดยกลุ่ม 1-5 จะมีทั้งหมดกลุ่มละ 5 ทีม และกลุ่ม 6-10 มีทั้งหมดกลุ่มละ 6 ทีม เมื่อซัดกันครบในกลุ่มเพื่อหา 24 ทีม เข้าไปเล่นรอบสุดท้าย
นั่นคือ จะนำทีมแชมป์ กับ รองแชมป์กลุ่ม เข้ารอบทันที รวมทั้งหมด 20 ทีม
อีก 4 ทีมที่เหลือมาจากการเพลย์ออฟ นั่นหมายความว่า เนชั่นส์ลีก จะกลับมามีบทบาทอีกครั้ง!!!
กฎคือ จะเลือกทีมที่ผลงานดีที่สุดในเนช่ันส์ลีก แต่ละลีก นั่นคือ ลีก A, ลีก B, ลีก C และ ลีก D มาลีกละ 4 ทีม ทำการเพลย์ออฟ “เฉพาะในลีก” ให้เหลือ 1 เดียวของแต่ละลีก จะได้เข้ารอบสุดท้าย
นั่นหมายความว่าตอนนี้ทีมที่มีผลงานดีที่สุดของแต่ละลีก “มีโอกาส” ในการเข้ารอบสุดท้าย อย่างน้อยก็มี “โควตาเพลย์ออฟ”อยู่ในมือ
ลีก A ยังไม่รู้ว่าเป็นใคร ต้องใส่กันในปีหน้า ขณะที่ ลีก B ทีมที่ผลงานดีสุดคือ บอสเนีย แอนด์ เฮอร์เซโกวีน่า, ลีก C คือ สกอตแลนด์ และ ลีก D คือ จอร์เจีย
อาจจะดูแล้ววุ่นๆ หน่อย
แต่สำหรับผมถือว่า ยูฟ่า ปรุงรสการแข่งขันได้อร่อยมากๆ !!!!
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี