“ปัญหาสำคัญคือเรามองว่า กุนซือญี่ปุ่น หรือเกาหลีใต้ เขาค่อนข้างเข้มงวดเรื่องระเบียบวินัย จึงทำให้เกรงว่าพอมาแล้วจะไม่เข้ากับสไตล์ของนักเตะไทย และภายในทีมจะดูตึงเกินไป จึงตัดสินใจไม่เลือกเข้ามาทำงาน”
อืม...เจอการสัมภาษณ์ครั้งล่าสุดของ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย แล้วรู้สึกคับข้องใจอย่างบอกไม่ถูกนะครับกับการเผยถึงตัวเลือกกุนซือทัพ “ช้างศึก” คนต่อไป
พอท่านกล่าวออกมาเช่นนี้ สิ่งที่คิดขึ้นมาในหัวอย่างแรกเลยคือ อ้าวเห้ย การมีวินัย มันก็คือเรื่องที่เป็นเบสิกพื้นฐานของนักกีฬาอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?
แล้วยิ่งเมื่อวันก่อนได้มีโอกาสชมเกม เอเชี่ยนคัพ รอบ 8 ทีมสุดท้ายเกมที่ ทัพ “ดาวทอง” ทีมชาติ เวียดนาม นั้นพ่ายให้กับ “ซามูไร” ญี่ปุ่น 0-1 ไปแบบที่ต้องเรียกว่า “สู้ได้” ยิ่งทำให้รู้สึกมองดูเขาแล้วย้อนกลับมาดูสิ่งที่ท่านนายกลูกหนังไทยกล่าวออกมา เพราะกุนซือที่พาทัพ “เหงียนมหาภัย” ประสบความสำเร็จจนถึงขั้นนี้ก็คือ ปาร์ค ฮัง-โซ ยอดโค้ชชาวเกาหลีใต้ คนนี้นี่เอง
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2017 เวียดนาม นั้นต้องเศร้าฝันสลายเมื่อพวกเขาตกรอกแรก ซีเกมส์ ทั้งที่ตั้งความหวังว่าจะคว้าเหรียญทองให้ได้ ด้วยความที่ทีมชุดยู-19 ซึ่งว่ากันว่าเป็น โกลเด้นเจเนอเรชั่น นั้นขึ้นมาสู้ชุดใหญ่แบบเต็มตัว
จากความล้มเหลวในครั้งนั้นทำให้ สมาคมฟุตบอลเวียดนาม ยกเครื่องครั้งใหญ่ด้วยการหากุนซือต่างชาติเข้ามาทำงานหวยจึงไปออกที่ ปาร์ค ฮัง-โซ กุนซือชาวเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นที่เลื่องลือในเรื่องความเข้มข้นเรื่องวินัย
เวียดนาม ที่สถาปนาตัวเองว่าเป็นบาร์เซโลน่าแห่งอาเซียน เล่นบอลแบบเท้าต่อเท้า เมื่อ ปาร์คเข้ามา เขากลับยกเครื่องใหม่ทั้งหมด เพราะคิดว่ารูปแบบเช่นนี้แม้จะเร้าใจแฟนบอล แต่ทีมมักเจอปัญหาที่เกมรับ ที่เปิดช่องให้ฝ่ายตรงข้ามโจมตีง่ายดาย
ปาร์ค จึงเน้นน้ำหนักในเรื่องของการป้องกันมากยิ่งขึ้น รวมทั้งให้ความสำคัญเรื่องวินัย นักเตะทุกคนต้องอยู่ในกรอบที่วางเอาไว้อย่างเข้มงวด นอกจากนี้ยังปรับเรื่องอาหารการกิน ที่นักเตะทุกคนต้องได้รับคาร์โบไฮเดรตซึ่งให้พลังงานอย่างเพียงพอ พร้อมกับสั่งห้ามกิน ชา และ กาแฟ อย่างเด็ดขาด ด้วยความที่มองว่านั่นเป็นสิ่งที่ทำให้สภาพร่างกายไม่แข็งแกร่งเต็มที่
ผลลัพธ์จากสิ่งที่ ปาร์ค สร้างขึ้นหลังจากนั้น เริ่มต้นด้วยการพา เวียดนาม เข้ารอบสุดท้ายเอเชี่ยนคัพ ได้สำเร็จ ซึ่งในอาเซียนมีเพียงแค่เขากับไทย เท่านั้นที่ได้ผ่านเข้ามาถึงรอบนี้
จากนั้นเขาพาทีมชุดยู-23 เข้าถึงรอบชิง ศึกชิงแชมป์เอเชียยู-23 แม้ว่าสุดท้ายจะพ่ายให้กับ อุซเบกิสถาน ในช่วงต่อเวลาพิเศษ (เสมอในเกม 1-1) แต่นั่นก็นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมากๆ ของพวกเขาแล้ว พวกเขาจะสร้างผลงานต่อเนื่องเมื่อเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ เอเชี่ยนเกมส์ แม้จะพ่ายให้กับ เกาหลีใต้ (ชาติที่คว้าเหรียญทองไปครอง) ก็ตาม
จนกระทั่งในช่วงปลายปีกับการแข่งขัน ซูซูกิคัพ ซึ่ง ปาร์ค ที่คุมทัพควบทั้งชุดเล็กชุดใหญ่ ก็ไม่รีรอที่จะดึงดาวดังในทีมยู-23 ของเขาขึ้นมาสู้ชุดใหญ่หลายรายไม่ว่าจะเป็น เหงียน ควง ไฮ,
เหงียน คอง เฟือง, ดอน วาน ฮุย หรือ เหงียน เทียน ลินห์ และก็อย่างที่เราทราบกันคือ พวกเขาเอาชนะ มาเลเซีย คว้าแชมป์ไปครองผงาดเป็นเจ้าอาเซียนเต็มตัว
และกับผลงานล่าสุดที่กล่าวไปในข้างต้นที่พวกเขา เข้าไปถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายเอเชี่ยนคัพ ก่อนจะพ่าย ญี่ปุ่น ทีมเต็งแชมป์ไปแบบสมศักดิ์ศรี ซึ่งนี่คงเป็นการตอกย้ำถึงมาตรฐานที่ ปาร์ค เข้ามาเปลี่ยน เวียดนาม ทีมนี้จากหน้ามือเป็นหลังมือ ทั้งที่เข้ามาคุมทีมไม่ถึง 2 ปีด้วยซ้ำ
สุดท้ายไม่ว่ากุนซือคนใหม่ของ ทีมชาติไทย จะเป็นคนไทยหรือต่างชาตินับจากนี้ ยังอยากให้ท่านนายกลูกหนังไทย ลองคิดใหม่อีกทีกับเรื่องวินัยที่ควรจะเข้มงวด แม้บางที่มันอาจจะดูตึงเกินไปจนไม่ถูกใจนักเตะบางคน (อย่างที่ท่านนายกกล่าวไว้) แต่หากทุกคนได้รับเกียรติที่จะเข้ามาทำเพื่อชาติแล้ว พวกเขาก็จำเป็นต้องปรับตัว เพราะนี่คือสิ่งสำคัญไม่น้อยไปกว่าปัจจัยอื่นเลย
เชื่อเหอะ วินัยสร้างชาติได้จริงๆ
กาลอป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี