แฮร์รี่ เคน หัวหอกสเปอร์ส-กุน อเกวโร่ ดาวซัลโวแมนฯซิตี้-โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ความหวังลิเวอร์พูล
ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซีซั่นนี้ดราม่าอย่างที่สุดในการแย่งตำแหน่งแชมป์
อาจจะเป็นยุคที่โลกโซเชียลร้อนแรง มาถึงยุคที่ใครสามารถจะวิพากษ์วิจารณ์คนโน้นคนนี้ได้ ทั้งที่บางทีไม่รู้และไม่รู้จัก หนักเลยก็คือไม่ถ่องแท้ มันก็ยิ่งทำให้ทุกอย่างที่แรงอยู่แล้ว
แรงขึ้นกว่าเดิมอีกหลายแม็กนิจูด
แถมปีนี้ทีมที่มีลุ้นแชมป์มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ประกอบด้วย “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้, “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล และ “ไก่เดือยทอง” ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์
นาทีนี้มีแค่ สเปอร์ส ที่ไม่เคยนำจ่าฝูง ผิดกับ ลิเวอร์พูล กับ แมนฯซิตี้ ที่สลับกันบี้กันมาตั้งแต่เดือนกันยายน
โดยเฉพาะการรอคอยของ ลิเวอร์พูล ที่ขยับไปทางไหนล้วนแต่เป็นประเด็น
ยิ่งทำให้แรงกระเพื่อมจึงแรงกว่าเดิมหลายริกเตอร์
การบดบี้นี้ยังเหลือโปรแกรมอีกกว่า 10 เกม ซึ่งทุกอย่างในตอนนี้ยังคง “เป็นไปได้”
สเปอร์ส ที่ทำท่าจะหมดแรงไปแล้ว เมื่อ แฮร์รี่ เคน กับ เดเล่ อัลลี นัดกันเจ็บยาว แถม ซน ฮึง-มิน ต้องไปติดทีมชาติในเอเชี่ยนคัพ แต่พวกเขายังอยู่บนเส้นทางหน้าตาเฉย
ก่อนจะถึงโปรแกรมสุดสัปดาห์นี้ น่าสนใจก็คือ วันเสาร์อันดับคะแนนคือ 1.ลิเวอร์พูล 2.แมนฯซิตี้ 3.สเปอร์ส
พอจบเกมวันเสาร์ อันดับคะแนน คือ 1.ลิเวอร์พูล 2.สเปอร์ส 3.แมนฯซิตี้
พอจบเกมวันอาทิตย์ อันดับคะแนนคือ 1.ลิเวอร์พูล 2.แมนฯซิตี้ 3.สเปอร์ส
แต่เมื่อ ลิเวอร์พูล เสมอในวันจันทร์ที่ลอนดอน สเตเดี้ยม และเมื่อจบเกมวันพุธที่ แมนฯซิตี้ บุกไปชนะ เอฟเวอร์ตัน
อันดับคะแนน กลายเป็น 1.แมนฯซิตี้ 2.ลิเวอร์พูล 3.สเปอร์ส ไปแล้ว
นี่คือความพลิกผันที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาเพียงสัปดาห์เดียว
การไล่ล่าตำแหน่งแชมป์ต้องลุ้นกันต่อไป แต่จะมีใครพลาดแทบจะไม่ได้ เพราะคะแนนใกล้เคียงกันมาก ทำเผลอๆ ไผลๆ 2 สัปดาห์ ถ้าไม่ชนะคุณอาจหลุดมาอยู่อันดับ 3
เหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วที่อยู่ๆ คะแนน ก็ทิ้งห่างกันแบบเหลือเชื่อในช่วงบ็อกซิ่งเดย์ ที่อยู่ๆ ลิเวอร์พูล ก็หนี สเปอร์ส ไป 7 แต้ม เพราะไก่เดือยทองแพ้ วูล์ฟส์ ในถิ่น แถมยังหนี แมนฯซิตี้ ถึง 10 คะแนน กับการเตะมากกว่า 1 เกม
แต่ แมนฯซิตี้ ย่อระยะทางมาเหลือ 7 ในอีก 24 ชั่วโมงต่อมา และกลับกลายมาเหลือ 4 คะแนน เมื่อพวกเขาเด็ดปีกหงส์ 2-1
อย่างไรก็ตาม ความผิดพลาดสะดุดของทั้งแมนฯซิตี้ และลิเวอร์พูล ทำให้หนีกันไม่ออก โดยเฉพาะเมื่อสัปดาห์ก่อน ในการเตะแมทช์มิดวีค ที่เป็นอีกจุดที่น่าสนใจของฤดูกาล
ในวันอังคาร แมนฯซิตี้ ออกไปแพ้ นิวคาสเซิ่ล แบบพลิกล็อก 1-2 ทำให้ ลิเวอร์พูล มีโอกาสหนีออกไปเป็น 7 คะแนน หากชนะ เลสเตอร์ ซิตี้
ในวันพุธ
แต่เมื่อผลออกมาเสมอ 1-1 ที่แอนฟิลด์ จาก 7 ในฝันเหลือในความจริงแค่ 5 คะแนน
ทำให้จากนี้ต้องวัดกันแบบแมทช์ต่อแมทช์ที่อาจจะสลับตำแหน่งจ่าฝูงกันทุกสัปดาห์ก็เป็นได้
เมื่อถึงตรงนี้วัดคุณสมบัติกันแบบตรงๆ หรือจะวัดคุณสมบัติกันในเชิงลึก ปรากฏชัดเจนว่า แมนซิตี้ เหนือกว่าทั้ง ลิเวอร์พูล กับ สเปอร์ส
“คุณสมบัติของทีมที่จะเป็นแชมป์” คือ สิ่งที่ครึ่งฤดูกาลแรก ลิเวอร์พูล มีพร้อมสรรพ จากแมทช์ที่ต้องเสมอกลายเป็นชนะ หรือแมทช์ต้องมือเปล่า กลับมีแต้มติดมือ
คุณสมบัตินี้กำลังเทมาทาง แมนฯซิตี้ ในครึ่งซีซั่นหลังอยู่พอสมควรเลยทีเดียว
พวกเขาได้ประตูในช่วงทดเวลาบาดเจ็บครึ่งแรก และชี้นำเส้นทางสู่ชัยชนะถึง 2 นัดติดต่อกัน ในการเจอกับ อาร์เซนอล และเอฟเวอร์ตัน
แบบแผนการเล่น แมนฯซิตี้ ยังคงชัดเจนกว่าใคร เล่นกับทีมใดก็จะดูเหนือกว่า การยืดหยุ่นของแผนการเล่น 4-3-3 หรือ 3-4-3 สามารถทำได้จากผู้เล่นชุดเดียวกัน ทำได้ตามแผนของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า
เป๊ป กวาร์ดิโอล่า จอมแท็กติกที่ปรับการเล่นจนลงตัว
แท็กติกการเข้าทำยังคงชัดเจน น่าแปลกใจตรงการเล่นของ ดาบิด ซิลบา กับ แฟร์นานดินโญ่ ที่เล่นได้ดีมาก กลายเป็น 2 แม่ทัพในแผงกลางที่ทำให้เห็นว่า จะมีสักกี่คนที่อายุ 33 แล้วเล่นได้ขนาดนี้
เช่นเดียวกับ เซร์คิโอ กุน อเกวโร่ ที่ยังคงอยู่ในมาตรฐานการเล่นที่ยอดเยี่ยมต่อเนื่อง และการยกระดับขึ้นมาของ อายเมอริค ลาปอร์กต์ กลายเป็นหัวใจในเกมรับ
ตรงๆ ก็คือ พวกเขามีแม่ทัพในทุกๆ แดน
เมื่อย้อนมองไปที่ ลิเวอร์พูล พวกเขาเหมือนกับว่า ปัญหามีให้แก้ไขตลอดเวลา โดยเฉพาะในแผงรับที่ปั่นป่วนจากตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ ไล่ไปถึง แบ๊กขวา และทำให้การจัดตัวเดือดร้อนไปจนถึงแผงกองกลาง
สูตรการเล่นลงตัว 4-3-3 กับ 4-2-3-1 แต่กลายเป็นว่า การจัด 11 คน ลงสนามของ เจอร์เก้น คล็อปป์ เหมือนกับการแก้ไขสถานการณ์ไปเรื่อยๆ ไม่ใช่การ “โรเตชั่น” เหมือนในช่วง 3-4 เดือนแรก
อีกจุดที่น่าสนใจก็คือ การไม่มีพวกโป้งปิดบัญชี ไม่มีกองหน้าแท้ๆ แม้แต่คนเดียว ทำให้หลายๆ จังหวะที่จะต้องได้ในยามที่ 3 ประสาน SMF ตีบตัน มันไม่มีใครช่วยได้
หลายนัดหลายหนการเล่น 4-3-3 เหมือนกับการเล่น 4-3-3-0 นั่นคือสมดุลย์ในเกมรุกหายไป
พวกเขาจึงใช้โควตา “เอาตัวรอด” มาบ่อยครั้ง ซึ่งเหมือนกับ สเปอร์ส ที่ไม่มี แฮร์รี่ เคน ก็เอาตัวรอดเช่นกัน แต่ต้องไม่ลืมว่าอย่างน้อย เฟร์นานโด ยอร์เรนเต้ คือกองหน้าพันธุ์แท้
เขาอาจจะไม่ใช่พวกผลิตสกอร์ได้ จะด้วยวัยหรืออะไรก็ตาม แต่ที่แน่ๆ การชนการเข้าหาและการอัดกับแนวรับ มันช่วยเปิดทางให้กับแผงรุกคนอื่นๆ ยังพอได้
ดังนั้นไม่แปลกหรอกที่ถึงตรงนี้ แมนฯซิตี้ จะกลับมาเป็นเต็ง 1 อีกครั้ง เพราะคุณภาพมันนำหน้าทีมอื่นมาตั้งแต่ก่อนเปิดซีซั่น ไม่อย่างงั้นเงินในบัญชีคงไม่เบิกมาซื้อแค่ ริยาด มาห์เรซ แค่คนเดียว
เพราะที่เหลือซื้อมากองไว้ในค่ายเต็มไปหมดแล้ว
สมมุติว่ารายชื่อตัวจริงเกมนี้ประกอบด้วย เอแดร์ซอน, ไคล์ วอล์คเกอร์, จอห์น สโตนส์, อายเมอริค ลาปอร์กต์, เบนฌาแม็ง เมนดี้, แฟร์นานดินโญ่, ดาบิด ซิลบา, เควิน เดอ บรอยน์, ริยาด มาห์เรซ, ราฮีม สเตอร์ลิ่ง และเซร์คิโอ อเกวโร่
ที่เหลือคือกองกำลังสำรอง ประกอบไปด้วย แว็งซองต์ ก็องปานี, นิโคลัส โอตาเมนดี้, โอเล็กซานเดอร์ ซินเชงโก้, ฟาเบียง เดลป์, ฟิล โฟเด้น, ดานิโล่, แบร์นาโด้ ซิลวา, อิลคาย
กุนโดกัน, ลีรอย ซาเน่ และกาเบรียล เฮซุส
แน่นอนว่าทีมนี้มีแน่ๆ 3 อย่างคือ แท็กติกของโค้ช, คุณภาพนักเตะ และเงินที่สามารถใช้ผีโม่แป้ง
หากว่ามี “โชค” เข้ามาช่วยอีก ทำให้ทีมอื่นลำบากอย่างที่สุด และไม่แปลกเลยที่จะเป็นม้าเต็ง
แต่จะวิ่งได้สมราคาถึงเส้นชัยนั้น
พระเจ้ายังตอบไม่ได้เลยตอนนี้ !!!
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี