เจอร์เก้น คล็อปป์
การแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ประจำวันอาทิตย์นี้ มีการดวลแข้งนัดสำคัญทั้ง 3 สนาม ทั้งการลุ้นแชมป์ของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล รวมถึงการโคจรมาปะทะกันเองของสองทีมลุ้นชิงตั๋วแชมเปี้ยนส์ลีก ทั้ง “ปืนใหญ่” อาร์เซนอล กับ “ปีศาจแดง” แมนยูฯ และ “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี ที่จะได้เฝ้ารัง ซึ่งปรีวิวการดวลแข้งของทั้ง 3 คู่ มีดังต่อไปนี้
19.00 น. ลิเวอร์พูล-เบิร์นลี่ย์ : เกมสำคัญของ “หงส์แดง” ที่จะลงสนามในฐานะผู้ตามกับ 9 นัดที่เหลืออยู่ในฤดูกาลนี้ สำคัญก็คือ พวกเขามีสถิติอันยอดเยี่ยมไม่แพ้ใครในลีกที่แอนฟิลด์มาติดต่อกันถึง 35 เกม รวมถึงไม่เสียประตูให้ใครในลีก 4 นัด ติดต่อกันแล้ว
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมของทีมตอนนี้ เหมือนกับฟอร์มติดขัดพอสมควร เมื่อ 6 เกมหลังไม่แพ้ใครก็จริง แต่ชนะได้แค่ 2 เกมเท่านั้น ซึ่งมีผลชัดเจนในระบบชนะได้ 3 คะแนน คาดว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือที่ถูกวิจารณ์หนักเรื่องแผนการเล่นและการเปลี่ยนตัวในนัดล่าสุดที่เสมอกับ เอฟเวอร์ตัน ที่กูดิสัน พาร์ค ในเกมเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้แมทช์ จะปรับทัพในแผงกลางอีกครั้ง
จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่ลงเล่นนัดเว้นนัด ถ้าเป็นไปตามโควตาเดิม ก็จะไม่ได้เล่นในนัดนี้ อยู่ที่ คล็อปป์ จะใช้แผนไหน หลังจากช่วงครึ่งซีซั่นแรก คล็อปป์ จะใช้แผน 4-2-3-1 เวลาเจอกับทีมนอกบิ๊กซิกซ์ แต่ตอนหลังใช้แผน 4-3-3 แบบยืนหน้ากระดานมา 3 เกมติดต่อกันแล้ว
มิดฟิลด์ที่เป็นทางเลือกของ คล็อปป์ ตอนนี้มี 2 คน ที่เชื่อว่าได้ลงแน่นอนคือ ฟาบินโญ่ กับ จอร์จินโญ่ ไวจ์นัลดุม ที่เหลืออีก 1 ที่ว่าง มีตัวเลือกนอกจาก เฮนเดอร์สัน ก็คือ เจมส์ มิลเนอร์ ที่หายจากอาการเจ็บน่อง ที่ได้รับโอกาสบ่อยในช่วงหลัง ส่วนอีก 2 คน ตัวเลือกคือ นาบี เกอิต้า กับ เซอร์ดาน ชากีรี่ ที่มีเครื่องหมายคำถามตัวเบ้อเริ่มว่า ทำไม คล็อปป์ ถึงไม่ใช้เลยในช่วงหลัง ก็มีโอกาสสอดแทรกเช่นเดียวกัน
ขณะที่แนวรับ เดยัน ลอฟเรน ผ่านความฟิตมีชื่ออยู่ในทีมชุดนี้แล้ว แต่ โฌแอล มาติ๊ป ยังจะได้เล่นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟคู่กับ เฟอร์จีล ฟาน ไดจ์ค นักเตะยอดเยี่ยมสโมสรเดือนกุมภาพันธ์ต่อไปอีกนัด ส่วนแนวรุก โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ หายเจ็บกลับมาฟิตร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว จะเล่นเกมรุกร่วมกับ ซาดิโอ มาเน่ และโมฮาเหม็ด ซาลาห์ โดยเฉพาะ ซาลาห์ ที่ปืนฝืดในลีกติดต่อกัน 3 นัด เป็นหนแรกตั้งแต่ย้ายมาอยู่กับ ลิเวอร์พูล แต่ถ้าหากเขาลั่นไกสำเร็จ จะทำสถิติพรีเมียร์ลีก ด้วยการยิงครบ 50 ประตูเร็วสุดเท่ากับ อลัน เชียเรอร์ ที่ทำไว้ 66 นัด ในการเล่นให้กับ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส
ทางฝั่งทีมเยือนที่เหมือนกับฟื้นขึ้นมาในช่วงหลัง ก็เพิ่งยางแตกแพ้ไป 2 เกมติดต่อกัน ทำให้อันดับตอนนี้อยู่ที่ 16 มี 30 คะแนนยังต้องดิ้นรนหนีการตกชั้นต่อไป โดยมีสองปราการหลังตัวสำคัญที่เล่นได้ค่าเฉลี่ยดีที่สุดในทีมอย่าง เจมส์ ทาร์คอฟสกี้ และเบน มี จะปักหลักร่วมกัน
เอแด็น อาซาร์ คืนทัพตัวจริงให้กับ เชลซี เปิดรังดวลกับ วูล์ฟส์
ขณะที่ผู้เล่นสำคัญ 3 คนอย่าง โจนาธาน วอลเตอร์ส, สตีเว่น เดฟูร์ และแอร่อน เลนน่อน บาดเจ็บยาวเหมือนเดิม ส่วนในเกมรุกยังเป็น แอชลี่ย์ บาร์นส์ ที่ซัดไป 9 ประตูในซีซั่นนี้สูงสุดของสโมสร จะได้จับคู่กับ คริส วู้ด ที่ยิงไป 7 เม็ด ซึ่งภาพรวมของทีมในการไปเยือนค่อนข้างแย่ เมื่อชนะได้แค่เกมเดียวจาก 28 นัดหลังสุด และแพ้ไปถึง 19 นัดเท่านั้น โดยชัยชนะนอกบ้านหนสุดท้ายต้องย้อนไปเมื่อเดือนสิงหาคม 2017 ที่บุกไปน็อก เชลซี 3-2
สถิติในคู่นี้ ลิเวอร์พูล ไม่เคยแพ้ เบิร์นลี่ย์ ในแอนฟิลด์มาตลอด 11 นัด หลังสุดที่เจอกัน โดยหนสุดท้ายที่ เบิร์นลี่ย์ บุกมาชนะได้ต้องย้อนกลับไปเมื่อกันยายน ปี 1974 ส่วนสถิติพบกันทั้งหมดนั้น ลิเวอร์พูล ชนะ 45 เสมอ 25 เบิร์นลี่ย์ ชนะ 33
21.05 น. เชลซี-วูล์ฟส์ : “สิงโตน้ำเงินคราม” สถานการณ์ผ่อนคลายขึ้นเยอะ หลังจากมีประเด็นปัญหาเรื่องของ เมาริซิโอ ซาร์รี่ กุนซืชาวอิตาเลียนมาโดยตลอด ซึ่งตอนนี้ทีมมีอยู่ 56 คะแนน ยังมีลุ้นอย่างมากในโควต้าไปยุโรป เนื่องจากตามหลัง อาร์เซนอล 1 แต้ม และ แมนยูฯ 2 แต้ม
เอแด็น อาซาร์, เอ็นโกโล่ ก็องเต้, เซซาร์ อัสปิลิกวยต้า และอันโตนิโอ รือดิเกอร์ 4 นัดเตะตัวหลักที่ได้พักในเกมไล่ต้อน ดินาโม เคียฟ 3-0 ในศึกยูฟ่า ยูโรป้า ลีก จะกลับมาลงสนามเป็นตัวจริงทั้งหมด ส่วนที่เหลือยังอยู่ทั้งหมดนั่นคือ เกปา อาร์ริซาบาลาก้า, ดาวิด ลุยซ์, จอร์จินโญ่ และกอนซาโล่ อิกวาอิน
ผู้มาเยือนจากมิดแลนด์ อยู่ในช่วงกลับมาฟอร์มแรงอีกครั้ง เมื่อชนะถึง 4 และแพ้แค่เกมเดียวจาก 7 นัดหลังสุด และยึดอันดับ 7 เหนียวแน่นต่อไป นูโน่ เอสปริติโต้ ซานโต้ กุนซือยังมีผลงานน่าสนใจตรงที่ไม่แพ้ในการมาเยือนลอนดอนเลยในซีซั่นนี้ ด้วยการชนะ 3 เสมอ 2
แต่นัดนี้ ไรอัน เบนเน็ตต์ ปราการหลังคนสำคัญติดโทษแบน 2 นัด พลาดการลงสนาม แต่ได้ รุย ปาทริซิโอ นายประตูชาวโปรตุเกส กลับมาฟิตทันอีกครั้ง ทำให้ จอห์น รัดดี้ กลับไปเป็นสำรอง ส่วนแนวรุกยังเป็น โจต้า กับ ราอูล ฆิมิเนซ
สำหรับสถิติคู่นี้ถือว่าสูสีกันสุดๆ ผลงานนับเฉพาะในลีก เชลซี เป็นรองด้วยซ้ำ เมื่อชนะ 37 วูล์ฟส์ ชนะ 38 เสมอ 26 แต่ผลงานรวมทุกถ้วย เชลซี พลิกมาเหนือกว่าด้วยการชนะ 41 เสมอ 26 วูล์ฟส์ ชนะ 39 ซึ่งการเจอกันนัดแรกของซีซั่นนี้ วูล์ฟส์ กำชัยที่โมลินิวซ์ 2-1 หากพวกเขาชนะอีกจะเป็นการชะนแบบดับเบิ้ลโอเวอร์ หรือทั้งไปทั้งกลับครั้งแรกตั้งแต่ซีซั่น 1974-75 ซึ่งปีนั้น เชลซี ตกชั้น
อเล็กซงดร์ ลากาแซตต์ จะได้วัดฝีมือกับ ดาบิด เด เคอา อีกครั้ง ในศึกบิ๊กแมทช์ที่เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม
23.30 น. อาร์เซนอล-แมนฯยูไนเต็ด : บิ๊กแมทช์ประจำสัปดาห์โดยมีตั๋วแชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาลหน้าเป็นเดิมพัน หลังจากผ่านไป 29 นัด สถานการณ์ยังสูสีสุดๆ เมื่อ “ปืนใหญ่” เจ้าบ้านมีคะแนนตามหลัง “ผีแดง” อยู่ 1 คะแนน
อูไน อเมรี่ กุนซืออาร์เซนอล ถูกวิจารณ์พอสมควร แต่ก็มีเสียงเห็นอกเห็นใจ เนื่องจากมีปัญหานักเตะบาดเจ็บ และติดแบนต่อเนื่องตลอด โดยเกมนี้ ลูคัส ตอร์เรยร่า มิดฟิลด์พันธุ์ดุชาวอุรุกวัยก็ติดแบนจากใบแดงเกมนอร์ธ ลอนดอน ดาร์บี้ เมื่อบวกกับพวกที่เจ็บก่อนหน้านี้ในแผงรับอย่าง เอ๊คตอร์ เบเยริน กับ ร็อบ โฮลดิ้ง ทำให้ทีมต้องจัดทัพแบบตัดแปะไปแปะมาอยู่ตลอดเวลา
แนวรับคาดว่าอาจจะต้องให้ เอนส์ลี่ย์ มิตแลนด์-ไนลส์ มายืนแบ๊กขวา เนื่องจาก สเตฟาน ลิทช์สไตเนอร์ รอเช็คฟิต และชโคดราน มุสตาฟี่ ก็ไม่เหมาะกับตำแหน่งนี้ ส่วนปราการหลังคู่กลาง โลรองต์ กอสซิแอลนี่ กับ โซคราติส ปาปาสตาโธปูลอส จะยืนด้วยกัน
ขณะที่แดนกลางประเด็นอยู่ที่ เมซุต โอซิล ที่มีปัญหาเรื่องทัศนคติจะกลับมาลงสนามได้หรือไม่ คือ ปริศนาของแฟนบอลกูนเนอร์ส ทำให้ แอร่อน แรมซี่ย์ น่าจะได้ลงเล่นกับ กรานิต ชาก้า กับ มัตเตโอ เกนดูซี่ ส่วนอีก 3 ตำแหน่งในเกมนี้ถ้า โอซิล ไม่ได้เล่นน่าจะเป็น อเล็กซ์ อิโวบี้ และเฮนริค มาคิตาร์ยาน
ส่วนตำแหน่งของแนวรุก คาดว่า อเมรี่ ไม่น่าจะส่งสองดาวยิงลงเล่นพร้อมกัน ซึ่งโอกาสน่าจะเป็นของ อเล็กซงด์ ลากาแซตต์ ที่ได้พักในยูโรป้าลีก จะได้สตาร์ทตัวจริงก่อน ปิแอร์ เอเมอริค-โอบาเมยัง
ทางด้าน “ปีศาจแดง” ที่พลิกนรกเข้ารอบ 8 ทีมแชมเปี้ยนส์ลีกได้อย่างสุดมหัศจรรย์ เมื่อได้จุดโทษจากวีเออาร์ในนาทีสุดท้าย ดับซ่า ปารีส-แซงต์ แชร์กแมง 3-1 ถึงถิ่น ทำให้ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา กุนซือชั่วคราวน่าจะได้รับสัญญาแบบถาวร
แต่การจัดทัพในเกมนี้ยังเป็นเหมือนเดิม เมื่อนักเตะตัวหลักหลายคนยังติดปัญหาอาการบาดเจ็บ และยังคงสาหัสเท่าเมื่อเกมกลางสัปดาห์ที่ไม่มีนักเตะให้เลือกถึง 10 คน โดยที่ยังลงไม่ได้แน่นอนคือ เนมานญ่า มาติช กับ อันเดร เอร์ราร่า สองกองกลางที่ยังไม่น่าจะฟิตพอ รวมถึง ฟิล โจนส์, มัตเตโอ ดาเมี่ยน, อันโตนิโอ วาเลนเซีย, เจสซี่ ลินการ์ด, อเล็กซิส ซานเชซ และฆวน มาต้า
เกมในแดนกลางได้ ปอล ป๊อกบา ที่ติดแบนเกมยุโรป กลับมาบัญชาเกม รวมถึง อองโตนีย์ มาร์กซิยาล ที่จะกลับมาเป็นทางเลือกในเกมรุก แต่ตอนนี้ โรเมลู ลูกาคู กำลังฟอร์มร้อนแรงสุดๆ ยิงได้นัดละ 2 ประตูติดๆ กันมาแล้วถึง 3 เกม จะยึดตัวจริงต่อไปคู่กับ มาร์คัส แรชฟอร์ด
ในส่วนของตัวเลขสถิติที่เจอกันมา แมนฯยูไนเต็ด เหนือกว่าด้วยการชนะ 97 เสมอ 51 อาร์เซนอล ชนะ 81 โดยปีนี้เจอกันมาแล้ว 2 เกม เริ่มจากเกมลีกที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด
เสมอกัน 2-2 ก่อนที่จะดวลกันในเอฟเอ คัพ เมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมานั้น แมนยูฯ บุกชนะถึงถิ่น 3-1
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี