ชุดแข่งซีซั่นหน้าของลิเวอร์พูล ที่เปิดปรี-ออเดอร์แล้วหมดอย่างรวดเร็ว เป็นการตอบรับที่เหลือเชื่อตลอด 3 ซีซั่นที่ผ่านมา
ลิเวอร์พูล จะเป็นแชมป์หรือมือเปล่า ยังไม่มีใครตอบได้
แต่ที่แน่ๆ ทีมได้รับการชูมือในตลาดฟุตบอลอังกฤษ เป็นที่เรียบร้อย ทิศทางเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ
นาทีปัจจุบัน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า แม้กระทั่งเสื้อซ้อม ยังสามารถที่จะเปิด “ปรี-ออเดอร์” ได้แบบไม่น้อยหน้า “เสื้อแข่ง” รวมไปถึง “รองเท้า” ที่เป็นเทรนด์นิยมมากในช่วงปีสองปีที่ผ่านมา
เรื่องเสื้อสวย, รองเท้าสวยนั่นคืออีกเรื่อง สำคัญที่สุดคือ “แฟนบอล” ศรัทธาต่อทีมขนาดไหน สนับสนุนทีมขนาดไหน นั่นแหละคำตอบ
พวกเขากลายเป็นทีมแรกที่ได้กำไรทะลุ 100 ล้านปอนด์ทีมแรก เพราะธุรกิจต่างๆ นอกสนาม และทำท่าว่า “จะไปต่อ” หลังจากเส้นทางเห็นได้อย่าง “ชัดเจน”
ล่าสุดคือ “เสื้อซ้อม” ที่กลายเป็นเสื้อที่แฟนบอลชื่นชอบ เพราะเข้าถึงง่ายกว่า ราคาเบากว่าชุดแข่ง และมีหลากหลายแบบให้ได้สะสม
ลิเวอร์พูล ได้ AXA หรือ แอ๊กซ่า เข้ามาร่วมด้วย
จากเดิมเริ่มจากผู้ให้การสนับสนุนหลักที่เป็น “คาดหน้าอกชุดแข่ง” ที่มาติดอยู่ในชุดซ้อม ตั้งแต่ คาร์ลสเบิร์ก และสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด
กระทั่งการเข้ามาของ สายการบินการูด้า อินโดนีเซีย เมื่อซีซั่น 2014-15 จากนั้นก็เป็น “BetVictor” ในซีซั่น 16-17 และจนจบซีซั่นนี้ 2018-19
อันที่จริง AXA ได้เข้ามาอยู่ในครอบครัวลิเวอร์พูล ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2018 ที่ผ่านมา เป็นบริษัทประกันภัยสัญชาติฝรั่งเศส ถือเป็นเจ้าแรกของสโมสรที่เป็น “Global insurance partner” ซึ่งการคาดหน้าอกครั้งนี้ ประกอบด้วย เสื้อฝึกซ้อม, กางเกงวอร์ม, แจ๊กเกต, เสื้อโปโล และเสื้อแขนกุด
ในปี 2018 Interbrand “Best Global Brand Ranking” การจัดอันดับแบรนด์ที่ดีที่สุดของอินเตอร์แบรนด์ AXA ได้รับการยกย่องให้เป็นแบรนด์ประกันภัยอันดับหนึ่งของโลก 10 ปีติดต่อกัน
สำหรับบ้านเราก็คือ “กรุงไทย-แอกซ่า” นั่นเอง
เป็นอีกก้าวเรื่องนอกสนามที่ลิเวอร์พูล ประสบความสำเร็จ
หากลองย้อนกลับไปในยุคที่ฟุตบอล “เริ่มที่จะ” เป็นเงินเป็นทองนั้น “หงส์แดง” กำลังตะแคงฟ้า ยุคของ บิลล์ แชงคลี่ย์ ที่เริ่มประกาศศักดาทั้งในและนอกประเทศ จนกระทั่งซีซั่น 1973-74 “อัมโบร” คือ เจ้าแรกที่เข้ามาเซ็นสัญญาผลิตชุดแข่งให้กับสโมสร
ปีแรกที่มี “คนมาจ่ายเงินทำเสื้อ” หงส์แดงของ แชงคลี่ย์ เดินหน้าคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ได้ที่สนามเวมบลีย์ ด้วยการขยี้ “สาลิกาดง” นิวคาสเซิ่ล แหลกคาแข้ง 3-0
การถ่ายทอดสดหนนั้น ส่งผลให้เสื้อทีมขายได้ดีเป็นเทน้ำเทท่า
จากนั้นปี 1979 “หงส์แดง” เป็นทีมแรกที่นอกจากจะมี “สปอนเซอร์ทำเสื้อ” แถมยังมี “สปอนเซอร์คาดหน้าอก” เมื่อทำสัญญากับ “ฮิตาชิ” ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าสัญชาติซามูไร เป็นเวลานาน 4 ปี
ข้อแม้ก็คือ เมื่อไหร่ก็ตามที่มีการถ่ายทอดสดในยุคนั้น ห้ามใส่เสื้อที่มีคาดหน้าอกลงแข่งขัน
จริงๆ แล้ว ทีมแรกที่เซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการกับสปอนเซอร์คาดหน้าอกคือ “ไอ้หัวแกะ” ดาร์บี้ เคาน์ตี้ ที่ทำสัญญากับ “SAAB” บริษัทรถชื่อดัง แต่ก็ไม่ได้ใส่ลงเล่นในเกมอย่างเป็นทางการ
ดังนั้นบันทึกนี้อันดับ 1 จึงเป็นของ ลิเวอร์พูล ไปโดยปริยาย
กระทั่งถึงปี 1985 ลิเวอร์พูล เปลี่ยนแปลงตำแหน่งผู้จัดการทีมจาก โจ เฟแกน มาเป็น เคนนี่ ดัลกลิช ทีมก็เปลี่ยนผู้ผลิตเสื้อแข่งขันเช่นกัน โดยเซ็นสัญญากับ “อาดิดาส” ขาใหญ่จากเยอรมนี
ตอนนั้นกลายเป็นยุคแรกที่มีการเปลี่ยนชุดแข่งขันทุกปี นับตั้งแต่ซีซั่น 1985-86, 1986-87 และ1987-88 โดยคาดหน้าอกคือ “CrownPaints” ที่อยู่กับทีมมาตั้งแต่ปี 1983 จากนั้นในซีซั่น 1988-89 ก็เปลี่ยนคาดหน้าอกเป็น “CANDY” ที่ไม่ใช่ลูกอม....แต่เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า
หลังจากเปลี่ยนเสื้อเหย้ามา 5 ซีซั่นซ้อนๆ ลิเวอร์พูล มาใช้ชุด “ลายไผ่” หรือที่เรียกว่า “ลายขนนก” ในปี 1990 ที่ได้แชมป์ลีกหนสุดท้าย และใช้ต่อในปี 1991 ทีมก็มาเปลี่ยนชุดเหย้าในปี 1991-92 เป็นยุคที่ แกรม ซูเนสส์ เข้ามาคุมทีม
กระทั่งปีต่อมาผลิตภัณฑ์น้ำอำพัน “Carlsberg” เข้ามาคาดหน้าอก เป็นปีที่ทีมฉลองครบรอบ 100 ปีพอดิบพอดี ทีมก็ใช้อาดิดาส มาจนถึงจบซีซั่น 1995-96
ก่อนมาเซ็นสัญญากับ “รีบอค” ในปี 1996 โดยทำสัญญากันยาว 10 ปี
การทำชุดแข่งกับรีบอคหนนี้ ทีมใช้เสื้อเหย้าชุดละ 2 ปี รวมทั้งสิ้น 5 ชุด แต่ทำชุดพิเศษนั่นคือชุดเตะเฉพาะศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก และยูฟ่า คัพ อีก 2 ชุด
ถึงปี 2006 ทีมกลับไปเซ็นสัญญากับ อาดิดาส อีกครั้ง คราวนี้อยู่กันด้วย 6 ปี ทำชุดแข่งขันออกมา 3 ชุด คล้ายกับ รีบอค ที่ใส่ชุดละ 2 ซีซั่น
ที่สุดแล้ว จอห์น ดับเบิลยู เฮนรี่ ประธานสโมสรคนใหม่ในสมัยนั้น(ปี 2010) ในช่วงที่กำลังอยู่ในการเจรจาสัญญาใหม่กับ อาดิดาส ที่ทำท่าจะไม่ต่อสัญญาด้วย ลงท้ายแล้ว เฮนรี่ เลือกไปที่ “วอร์ริเออร์ส” แบรนด์จากบอสตัน พร้อมกับได้เงิน 150 ล้านปอนด์ โดยทำสัญญา 6 ปี ซึ่งตอนนั้นถือว่าแพงที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลกเป็นรองแค่ บาร์เซโลน่า เพียงทีเดียว
อยู่กันได้ 3 ปีก็อัพเกรดมาเป็น “นิว บาลานซ์” ซึ่งก็ไม่ใช่อื่นไกล เพราะเป็นบริษัทแม่ของ “วอร์ริเออร์ส” นั่นเอง และสัญญากำลังจะหมดลงในซีซั่นหน้า
ท่ามกลางกระแสความนิยมยังล้นหลาม และมีผู้ให้การสนับสนุนอย่างมากมายต่อเนื่อง
ปริศนาของทีมตอนนี้นับจริงๆ เหลืออยู่แค่ 2 อย่างเท่านั้น
หนึ่งคือ ปีหน้าจะใช้แบรนด์ไหน
อีกหนึ่งคือ ปีนี้จะได้แชมป์หรือไม่.....เท่านั้นเอง!!!
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี