ฟุตบอลอังกฤษปีนี้มีอะไรให้พูดถึงมากมาย
ที่สุดแล้วจะเป็นครั้งแรกที่ “แชมป์” กับ “รองแชมป์” มีแต้มทะลุมาเกินกว่า 90 คะแนน
หากเป็นซีซั่นอื่นๆ ทีมที่มีแต้มขนาดนี้คงเป็นแชมป์ไปแล้ว แต่ปีนี้ม้าวิ่งมาสองตัว ควบมาได้พอกัน วิ่งแซงกันไปมาจนกระทั่งวันสุดท้าย
การชิงชัยของ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แชมป์เก่า กับ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ผู้ท้าชิง เปรียบได้กับการ “ยิงจุดโทษ” ผลัดกันยิงผลัดกันเฮจนถึงนัดสุดท้าย
ถือเป็นการต่อกรที่สมศักดิ์ศรีอย่างที่สุด
เพราะนับตามหลักวงล้อคะแนน ลิเวอร์พูล ทำได้ดีที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร ส่วน แมนฯซิตี้ แต้มน้อยกว่าปีก่อนที่ทำไปถึง 100 แต้ม แต่ขนาดนี้ก็สุดๆแล้ว
นับเป็นการต่อกรที่สูสีสุดๆ ท่ามกลางการทำงานที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิงของผู้บริหาร แม้ว่าสองกุนซือทั้ง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า และเจอร์เก้น คล็อปป์ เป็นคนที่มี “สไตล์ที่ชัดเจน”
แต่ที่ต่างนั่นคือวิธีการทำงาน และเม็ดเงินของสโมสรในการ “ลงทุน” กับการ “คืนทุน”
เป๊ป เซ็นสัญญาเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2016 เข้ามาทำงานเดือนกรกฎาคม ล้มคว่ำไม่เป็นท่าในปีแรก แต่พอขึ้นปี 2 ก็โชว์โหดครองแชมป์พรีเมียร์ลีก และลีกคัพ
ปีแรกลงทุน 172 ล้านปอนด์ ซื้อ อิลคาย กุนโดกัน, ลีรอย ซาเน่, จอห์น สโตนส์, เคลาดิโอ บราโว่, โนลิโต้, โอเล็กซานเดอร์ ซินเชงโก้, และกาเบรียล เฮซุส
ปีที่สองลงทุน 267.35 ล้านปอนด์ ซ่อมหลังทั้งกระบิ ซื้อโกล์อย่าง เอแดร์ซอน ซื้อกองหลัง ไคล์ วอล์คเกอร์, เบนฌาแม็ง เมนดี้, ดานิโล่ และอายเมริค ลาปอร์ต รวมถึงตัวรุกอย่าง แบร์นาโด ซิลวา พร้อมกวาดนักบอลเด็กมาหลายคน
กระทั่งปีนี้ ใช้เงินไป 63 ล้านปอนด์ โดยเฉพาะ ริยาด มาห์เรซ เพียงแต่ปีนี้ปล่อยนักบอลไปได้ 70 ล้านปอนด์
ประเด็นเรื่องการ “ใช้เงินเยอะมาก” ถูกพูดถึงแบบไม่ต้องมาเถียงกันให้เสียเวลา
มันชัดเจนมากๆ
ขณะที่อีกฟากฝั่ง 8 ตุลาคม เจอร์เก้น คล็อปป์ เข้ามาแอนฟิลด์ แทนที่ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส แต่เขาเสริมนักเตะได้แค่คนเดียวคือ มาร์โก้ กรูยิช 5 ล้านปอนด์ เพราะก่อนหน้านี้ 73 ล้านปอนด์โดน ร็อดเจอร์ส ถลุงไปแล้ว แต่เข้าชิงถึง 2 รายการแต่เป็นพระรองคือ ยูโรป้า กับ ลีกคัพ
เริ่มต้นการทำงานแบบเต็มปี 2016-17 ใช้เงิน 61.9 ล้านปอนด์ เสริมทัพได้ 4 คนจากบุนเดสลีกา โฌแอล มาติ๊ป, ลอริส คาริอุส, รักนาร์ คลาวาน และอเล็กซ์ แมนนิงเกอร์ ราคาไปหนักที่ ซาอิโอ มาเน่ กับ จอร์จินโญ่ ไวจ์นัลดุม
ปี 2017-18 ใช้งบ 150 ล้านปอนด์ ได้ตัวของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน, อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน และเฟอร์จีล ฟาน ไดจ์ค
ปีล่าสุดใช้ไป 160 ล้านปอนด์ แลกตัวของ อลิสซอน เบ๊คเกอร์, ฟาบินโญ่, นาบี เกอิต้า และเซอร์ดาน ชากิรี่
อย่างไรก็ตาม เป๊ป กับ คล็อปป์ ไม่เหมือนกันตรงที่ เป๊ป ซื้อได้ไม่ต้องขายใคร ไม่เดือดร้อน
แต่ คล็อปป์ ร่วมรับผิดชอบต้องบริหารการเงินเมื่อซื้อใครก็ต้องขายคนอื่นด้วย
ชัดเจนคือปี 2018 ต้องเสีย คูตินโญ่ แลกเงินมาได้ 105 ล้านปอนด์บวก รวมขายคนอื่นได้ไปเกือบ 140 ล้านปอนด์ ส่วนปีนี้ก็ต้องขายและปล่อยยืมแบบได้เงินรวม 40 ล้านปอนด์ หากย้อนกลับไปปีแรก คล็อปป์ ขายนักบอลรวม 77 ล้านปอนด์
บัญชีตัวเขียนโด่เด่ขึ้นมา
เป๊ป มีนักเตะกองอยู่ก่อนหน้านี้ที่ซื้อมาใช้ได้เลยนับ 10 คน ส่วน คล็อปป์ ต้องมารื้อใหม่แทบยกกระบิ จนเพิ่งได้ทีมของตัวเองแท้ๆ ก็ซีซั่นนี้
นั่นคือความแตกต่างของการทำทีม แน่นอนว่า “เงิน” ใครก็ใช้ แต่ถามว่าใช้ยังไงนี่คือประเด็น
เจ้าของทีมมีการทำงานที่แตกต่าง แมนฯซิตี้ โมเดลคือ “เงินใช้ผีโม่แป้ง” ขณะที่ ลิเวอร์พูล ไม่สามารถใช้เงินมหาศาลได้ จอห์น เฮนรี่ ทำทีมแบบเยือกเย็น เขาไม่ใช่เศรษฐีระดับเงินถลุงเพราะมีเป็นถุงเป็นถัง
ดังนั้น แมนฯซิตี้ ได้แชมป์คือวัฒนธรรมของฟุตบอลยุคใหม่ แต่ถ้าเป็น ลิเวอร์พูล ได้แชมป์คือวัฒนธรรมของฟุตบอลยุคเก่า
เปรียบเทียบให้เห็นภาพคือ ตึกใหม่ทันสมัยสวยงาม กับอาคารอนุรักษ์ที่ทรงคุณค่าทางวัฒนธรรม
ระยะเวลาการเข้ามาถือบังเหียนของ ชีค มาห์นซู ถึงเวลานี้ 11 ปี สิ่งที่เขาต้องการไม่ได้ต่างจาก “เสี่ยหมี” โรมัน อบราโมวิช ของเชลซี นั่นคือ ถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก แต่ต้องรออีกอย่างน้อย 1 ปี
ชีค จ่ายแหลกเพื่อให้ทีมประสบความสำเร็จขั้นสูงสุด แต่ยังไปไม่ถึง แม้กระทั่งรอบตัดเชือก แต่สิ่งที่เขามีโอกาสได้เห็นคือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กำลังจะเป็นทีมแรกของอังกฤษที่กวาดแชมป์ทั้ง 3 รายการในซีซั่นเดียว
ลีกคัพ ได้มาแล้ว และลบอาถรรพ์ด้วยการป้องกันแชมป์ได้สำเร็จเป็นครั้งแรก หากเขาชนะ ไบรท์ตัน ทุกอย่างจบ ได้ถ้วยพรีเมียร์ลีก เป็นใบที่สอง และมันจะจบลงอย่างสมบูรณ์หากปราบ วัตฟอร์ด ในนัดชิงเอฟเอ คัพ สัปดาห์หน้า
หากแต่ว่า ใครหนอที่เขียนบทกำหนดให้มาลุ้นจนถึงวันสุดท้าย
ซิตี้ ต้องลุ้นกับทีมที่เปี่ยมไปด้วย “ศรัทธา” และ “ความหวัง” รวมถึง “การหนุนหลัง”จากกองเชียร์ที่โหยหาความสำเร็จถ้วยใบนี้มานานถึง 29 ปี เพื่อแชมป์สมัยที่ 19 และเป็นหนแรกในยุคพรีเมียร์ลีก
ว่ากันเรื่องเหตุผลฟุตบอล มองยังไงก็ไม่มีมุมไหนที่ แมนฯซิตี้ จะไม่ชนะไบรท์ตัน เพราะเหนือกว่าทุกกระบวนท่า จะมีเรื่องเดียวที่พวกเขาจะทำไม่ได้ก็คือ สิ่งที่เหนือกว่าคำว่าเหตุผลก็คงจะ “ไม่ใช่”
มันอยู่ที่ว่า เป๊ป ที่ออกอาการซีเรียสอยู่ตลอด และดูเหมือนจะ “กดดันกว่า” ลิเวอร์พูล จะวางแผนผิดคิดเตลิดไปเอง
ทุกอย่างอยู่ในมือพวกเขากับการลุ้นแชมป์ตอนนี้ที่ดีกว่า 1 แต้ม ถามว่า “ใครจะได้แชมป์” ต้องถามกลับไปว่า “คุณเชื่ออะไรมากกว่ากัน”
ระหว่าง “เหตุผลของฟุตบอล” กับ “สิ่งที่มีมากกว่าคำว่าเหตุผล”!!!
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี