การแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2018-19 เดินทางมาถึงนัดสุดท้าย ซึ่งเป็นนัดที่ 38 ของฤดูกาล ถือเป็นวันตัดสินแชมป์ หลังจากบดกันมา “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แชมป์เก่า มี 95 คะแนน และ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล มี 94 คะแนน โดยที่ แมนฯซิตี้ กุมความได้เปรียบตรงที่คะแนนมากกว่า และประตูได้เสียบวก 69 มากกว่า ลิเวอร์พูล อยู่ 4 ลูก หากชนะจะคว้าแชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่ 6 ทันที แต่ถ้าเสมอหรือแพ้ แล้ว ลิเวอร์พูล ชนะ จะทำให้ “หงส์แดง” ครองแชมป์ถ้วยนี้เป็นสมัยที่ 19 และเป็นครั้งแรกในรอบ 29 ปี ซึ่งโปรแกรมทั้ง 10 คู่จะเตะพร้อมกัน เวลา 21.00 น.
เกมตัดสินนัดนี้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะยกพลลงใต้บุกไปเยือนถิ่นฟาลเมอร์ หรือ เอแม็กซ์ สเตเดี้ยม เจอกับเจ้าถิ่น “นกนางนวล” ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน ที่รอดตัวไม่ตกชั้นไปแล้ว
แชมป์เก่าจะได้ เควิน เดอ บรอยน์ แกนรุกตัวฉกาจทีมชาติเบลเยียม หายเจ็บกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง กลับมาประจำการอีกครั้ง คาดว่ามีโอกาสลงตัวจริงทันทีร่วมกับ ดาบิด ซิลบา และอิลคาย กุนโดกัน เนื่องจาก แฟร์นานดินโญ่ มิดฟิลด์ตัวสำคัญบาดเจ็บที่เข่าลงไม่ได้แน่นอนแล้ว รวมไปถึง เบนฌาแม็ง เมนดี้ กับ เคลาดิโอ บราโว่ ก็หมดสิทธิ์ลงเล่นเช่นกัน โดยแกนรุกวาง แบร์นาโด้ ซิลวา เดินเกมรุกกับ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง และเซร์คิโอ อเกวโร่ ปักหอก
ฝั่งเจ้าบ้านที่ไม่ชนะใครในลีกมา 8 เกมรวด แถมยังไม่เคยชนะทีมแชมป์เก่าได้เลยตลอดการเล่นลีกสูงสุด 11 สมัย และแพ้ถึง 9 หน จะเตะเพื่ออำลา บรูโน่ กัปตันทีมชาวสเปน ที่แขวนสตั๊ดหลังจบเกมนี้ โดยไม่มี 2 กำลังสำคัญอย่าง ดาวี่ พร็อพเพอร์ กับ โฮเซ่ อิซเกวโด้ โดยความหวังเกมรุกพึ่ง เกล็น มาร์รี่ย์ กองหน้าตัวเก๋า
11 นักเตะที่คาดว่าจะลงสนาม ไบรท์ตัน (4-5-1) : แม็ทธิว ไรอัน- บรูโน่, เชน ดัฟฟี่, ลูอิส ดังค์, แบร์นาร์โด้ - อองโตนี่ย์ น็อคคาร์ท, อีฟส์ บิสซูม่า, เดล สตีเฟ่นส์, ปาสคาล โกรสส์, ซอลลี่ มาร์ช และเกล็น มาร์รี่ย์
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (4-3-3) : เอแดร์ซอน โมราเอส - ไคล์ วอล์คเกอร์, แว็งต์ซ็อง ก็องปานี, อายเมอริก ลาป๊อร์ก, โอเล็กซานเดอร์ ซินเชงโก้ - อิลคาย กุนโดกัน, ดาบิด ซิลบา, เควิน เดอ บรอยน์- ราฮีม สเตอร์ลิ่ง, เซร์คิโอ อเกวโร่ และแบร์นาโด้ ซิลวา
ทั้งนี้ แมนฯซิตี้ ถ้าชนะนอกจากจะเป็นแชมป์ทันทีแล้ว พวกเขาจะเป็นทีมแรกที่ป้องกันแชมป์ได้ในรอบ 10 ปี โดยทีมสุดท้ายที่ทำได้คือ แมนยูฯไนเต็ด นอกจากนี้ พวกเขาจะชนะรวดเป็นนัดที่ 14 เป็นสถิติใหม่แซงหน้า “ปืนใหญ่” อาร์เซนอล ที่ทำสถิติชนะ 13 เกมรวด เมื่อปี 2001-02
สถิติคู่นี้ ซิตี้ กินขาดด้วยการชนะ 12 เสมอ 5 ไบรท์ตัน ชนะ 4 โดยครั้งสุดท้ายที่ ไบรท์ตัน ชนะได้ต้องย้อนกลับไปเมื่อปี 1989 ในเกมดิวิชั่น 2 ด้วยสกอร์ 2-1 นอกจากนี้ แมนฯซิตี้ ไม่เคยแพ้ในนัดสุดท้ายของฤดูกาลมาตั้งแต่ปี 2013 โดยเกมสุดท้ายแพ้คือพลาดท่าให้กับ นอริช ซิตี้ 2-3 น่าสนใจว่า ผู้จัดการทีมนอริช ในตอนนั้นก็คือ คริส ฮิวจ์ตัน คนที่คุมทัพไบรท์ตันนี่เอง
ทางด้าน “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล จะเปิดสนามแอนฟิลด์ ต้องชนะให้ได้เอาไว้กันเป็นลำดับแรก รับการมาเยือนของ “หมาป่า” วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส ที่จบอันดับเลขตัวเดียวได้อย่างสุดยอด ทั้งที่เพิ่งเลื่อนชั้นมาในปีนี้
เจ้าถิ่นที่เพิ่งพลิกนรกถล่ม “เจ้าบุญทุ่ม” บาร์เซโลน่า แชมป์ลา ลีกา สเปน แบบขาดกระจุย 4-0 ได้เข้าชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก สองปีซ้อนๆ และเป็นสมัยที่ 9 ในประวัติศาสตร์ จะได้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ หายเจ็บศรีษะกลับมาเป็นกำลังสำคัญในเกมรุกอีกครั้ง ร่วมล่าตาข่ายกับ ซาดิโอ มาเน่ แต่ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ อดเล่นนัดนี้แน่นอนแล้ว เนื่องจากยังไม่หายเดี้ยง เช่นเดียวกับ นาบี เกอิต้า และแอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน จะพลาดลงทั้งหมดเพราะเจ็บ ทำให้แบ๊กซ้าย เจมส์ มิลเนอร์ จะลงประจำการณ์แทน โรเบิร์ตสัน นอกจากนี้ยังต้องเช็คฟิต จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กัปตันทีมที่เจ็บจากกลางสัปดาห์อีกด้วย
ฝั่งผู้มาเยือนที่ไม่ต้องมีอะไรตื่นเต้น ได้อันดับที่ 7 แน่นอนไปแล้ว ด้วยการมี 57 แต้ม ถือว่าประสบความสำเร็จสุดๆ เกมนี้ นูโน่ เปสปิริโต้ ซานโต้ กุนซือเคราดก ไม่มีปัญหานักเตะเจ็บ และจะจัดทัพแบบไม่เปลี่ยน 11 คนแรกรวมถึง 15 นัดเลยทีเดียว
สถิติคู่นี้ ลิเวอร์พูล เหนือกว่าด้วยการชนะ 50 เสมอ 17 แพ้ 36 โดยที่ “หงส์แดง” ไม่แพ้ใครในบ้านมานานถึง 39 นัดในลีก พร้อมกับไม่เคยแพ้ใครในการเล่นนัดสุดท้ายในบ้านตั้งแต่ปี 1989 นอกจากนี้ หงส์ กับ หมาป่า เจอกันในนัดสุดท้ายของซีซั่นมาแล้วถึง 6 ครั้ง ซึ่ง หงส์ ชนะได้ถึง 5 เกม
11 นักเตะที่คาดว่าจะลงสนาม ลิเวอร์พูล(4-3-3) : อลิสซอน เบ๊คเกอร์-เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์, โฌแอล มาติ๊ป, เฟอร์จีล ฟาน ไดจ์ค, เจมส์ มิลเนอร์-จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, ฟาบินโญ่, จอร์จินโญ่ ไวจ์นัลดุม-ดิว็อค โอริกี้, โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และซาดิโอ มาเน่
วูล์ฟแฮมป์ตัน (3-4-3) : รุย ปาตริซิโอ - ไรอัน เบนเนตต์, คอนอร์ เคาดี้, วิลลี่ โบลี่ - แมตต์ โดเฮอร์ตี้, เลอันเดร์ เดนดองเกอร์, ชูเอา มูตินโญ่, รูเบน เนเวส, จอนนี่ กาสโตร -ราอูล ฮิมิเนซ และ ดีเอโก้ โชต้า
สำหรับการลุ้นแชมป์ในวันสุดท้ายยุคพรีเมียร์ลีก เกิดขึ้นทั้งหมดก่อนหน้านี้ 7 ครั้ง น่าสนใจตรงที่ทีมที่นำจ่าฝูงเป็นแชมป์ในบั้นปลายทั้งหมด ประกอบด้วย ปี 1995 แบล็คเบิร์น, 1996 แมนยูฯ, 1999 แมนยูฯ, 2008 แมนยูฯ, 2010 เชลซี, 2012 แมนฯซิตี้ และ 2014 แมนฯซิตี้
สรุปโปรแกรมการแข่งขันนัดปิดฤดูกาลพรีเมียร์ลีก มีดังนี้ 21.00 น. ไบรท์ตัน-แมนฯซิตี้, เบิร์นลี่ย์-อาร์เซนอล, คริสตัล พาเลซ-บอร์นมัธ, ฟูแล่ม-นิวคาสเซิ่ล, เลสเตอร์-เชลซี, ลิเวอร์พูล-วูล์ฟส์, แมนยูฯ-คาร์ดิฟฟ์, เซาแธมป์ตัน-ฮัดเดอร์สฟิลด์, สเปอร์ส-เอฟเวอร์ตัน และวัตฟอร์ด-เวสต์แฮม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี