การแข่งขันฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ซีซั่น 2018-19 นัดชิงชนะเลิศ คืนวันเสาร์ที่ 1 มิถุนายนนี้ ที่สนามว่านต๋า เมโทรโปลิตาโน่ กรุงมาดริด ประเทศสเปน เป็นการปะทะกันระหว่างสองทีมดังจากประเทศอังกฤษ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล แชมป์ 5 สมัย พบกับ “ไก่เดือยทอง” ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ที่เข้าชิงเป็นครั้งแรก เกมนี้ได้ขยับเวลาคิกออฟมาเป็น 02.00 น.พร้อมกับครั้งแรกที่มีการเปลี่ยนผู้เล่นคนที่ 4 หากมีการต่อเวลา และเป็นนัดชิงยูซีแอลหนแรกที่ใช้ระบบวีดีโอช่วยในการตัดสิน หรือ The video assistant referee (VAR)
ความพร้อมของทั้งสองทีม
สเปอร์ส ไม่เคยได้ถ้วยอะไรมาประดับสโมสร นับตั้งแต่ปี 2008 ที่ได้แชมป์ลีกคัพ โดยนัดนี้ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ กุนซือชาวอาร์เจนตินา พวกเขาจะได้ แฮร์รี่ เคน กองหน้ากัปตันทีมกลับมาทันเวลาพอดีทำให้แนวรุกอาจเป็น ซน ฮึง มิน หล่นสำรอง และได้ แยน แฟร์ตองเก้น กลับมาคุมแดนหลังอีกครั้ง
ลิเวอร์พูล มีปัญหาเพียงจุดเดียวเท่านั้นนั่นคือนาบี เกอิต้า เจ็บลงไม่ได้ที่เหลือพร้อมลงสนามทั้งหมด โดยเฉพาะแนวรุกจะเป็น 3 ประสาน โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่, โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และซาดิโอ มาเน่ โดยมี เฟอร์จีล ฟาน ไดจ์ค คุมแนวรับ
ซึ่งเจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือต่อต้านเด็กบูฟื้นฟูเฮฟวี่ ต้องการลบฝันร้ายในนัดชิงแชมเปี้ยนส์ลีก ที่เขาเคยพาทีมชิง 2 ครั้งแพ้หมด คือ ดอร์ทมุนด์ ปี 2013 และลิเวอร์พูล เมื่อปีกลาย หากเขาทำได้จะเป็นถ้วยแรกในการคุมทัพที่แอนฟิลด์เข้าสู่ปีที่ 4 ก่อนหน้านี้ชิงมา 3 ถ้วยแพ้หมดทั้ง ลีกคัพ 2016, ยูโรป้าลีก 2016 และแชมเปี้ยนส์ลีก 2018 ส่วนพรีเมียร์ลีก อุตส่าห์ทำได้ถึง 97 แต้ม ยังได้แค่รองแชมป์เท่านั้น
ถ้า “หงส์แดง” กำชัยได้สำเร็จจะเป็นแชมป์แรกในรอบ 7 ปี โดยแชมป์สุดท้ายคือ ลีกคัพ ปี 2012
11 นักเตะที่คาดว่าจะลงสนาม
สเปอร์ส : อูโก้ ยอริส-คีแรน ทริปเปียร์, โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์, แยน แฟร์ตองเก้น, แดนนี่ โรส-มุสซ่า ซิสโซโก้, เอริค ดายเออร์, คริสเตียน เอริคเซ่น-เดเล่ อัลลี-ลูคัส มูร่า และแฮร์รี่ เคน
ลิเวอร์พูล : อลิสซอน เบ๊คเกอร์-เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โฌแอล มาติ๊ป, เฟอร์จีล ฟาน ไดจ์ค, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน-ฟาบินโญ่, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, จอร์จินโญ่ ไวจ์นัลดุม-โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่, โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และซาดิโอ มาเน่
สถิติแชมป์ในเวทียุโรป
สเปอร์ส เข้าชิงถ้วยยุโรปเป็นครั้งที่ 5 ก่อนหน้านี้ได้แชมป์ไป 3 รายการคือ คัพ วินเนอร์ส คัพ ปี 1963 และยูฟ่า คัพ ปี 1972 กับ 1984 ถ้าได้แชมป์ สเปอร์ส จะคว้าถ้วยยุโรปทั้ง 3 รายการเป็นทีมที่ 3 ของอังกฤษต่อจาก เชลซี กับ แมนฯยูไนเต็ด และเป็นทีมที่ 6 ในยุโรป โดยทีมอื่นที่ทำได้คือ ยูเวนตุส, อาแจ๊กซ์ และบาเยิร์น มิวนิค
“หงส์แดง” เข้าชิงเฉพาะถ้วยใหญ่นี้เป็นสมัยที่ 9 ก่อนหน้านี้ครองแชมป์ไปถึง 5 สมัยมากที่สุดในเกาะอังกฤษ ในปี 1977, 1978, 1981, 1984 และ 2005 ซึ่งปีก่อนพวกเขาเป็นรองแชมป์ถ้วยนี้ โดยสถิติทีมเข้าชิงถ้วยยุโรปมาแล้วถึง 14 ครั้ง ครองแชมป์ไปได้ 8 ใบ โดยอีก 3 ใบนอกจากแชมเปี้ยนส์ลีกคือ ยูฟ่า คัพ ปี 1973, 1976 และ 2001 ทั้งนี้ หากคว้าแชมป์ “หงส์แดง” จะขึ้นไปอยู่อันดับ 3 ที่ครองถ้วยบิ๊กเอียร์มากที่สุดต่อจาก เรอัล มาดริด 13 สมัย และเอซี มิลาน 7 สมัยทันที
Head to Head
คู่นี้เจอกันในนัดชิงชนะเลิศครั้งเดียว นั่นคือลีกคัพ ปี 1982 ปรากฏว่า “หงส์แดง” เอาชนะในช่วงต่อเวลาพิเศษ 3-1 โดย สเปอร์ส นำก่อนจาก สตีฟ อาร์ชิบัลด์ นาทีที่ 11 แต่ รอนนี่ วีแลน ยิงตีเสมอก่อนหมดเวลา 3 นาที ทำให้ต้องสู้กันต่อก่อนที่ วีแลน จะยิงให้หงส์พลิกนำนาทีที่ 111 และเอียน รัช ซัดปิดกล่อง นาทีที่ 119
ขณะที่เกมยุโรปเจอกัน 2 นัดเป็นเกมรอบตัดเชือกยูฟ่า คัพ โดยนัดแรกที่แอนฟิลด์ อเล็กซ์ ลินเซย์ แบ๊กซ้ายซัดประตูโทนนาทีที่ 26 ให้หงส์จิกไก่ 1-0 มาถึงนัดที่ 2 สเปอร์ส ชนะ 2-1 จากการเหมายิงของ มาร์ติน ปีเตอร์ส ส่วนหงส์ได้จาก “ด่วนอันตราย”สตีฟ ไฮจ์เวย์ ทำให้ 2 นัดเสมอ 2-2 แต่ ลิเวอร์พูล เข้าชิงด้วยกฎอเวย์โกล์
ส่วนการเจอกันในทุกรายการรวมทั้งสิ้น 171 นัด ลิเวอร์พูล เหนือกว่าด้วยการชนะ 79 สเปอร์ส ชนะ 48 และเสมอกัน 43 นัด ส่วนการเจอกันในซีซั่นนี้ “หงส์แดง” ชนะได้ทั้งไปทั้งกลับด้วยสกอร์เดียวกันคือ 2-1 ทั้งนี้ 14 เกมหลังสุดที่พบกัน ลิเวอร์พูล แพ้ให้กับ สเปอร์ส แค่หนเดียวเท่านั้น
ทีมงานเปาบุ้นจิ้น
ดาเมียร์ สโคมิน่า ผู้ตัดสินวัย 42 ปีขาวสโลวาเกีย ได้รับเลือกให้ตัดสินเกมนัดนี้ ก่อนหน้านี้เคยเป่า “หงส์แดง” แพ้มาโดยตลอด ตั้งแต่เกมแพ้ ฟิออเรนติน่า 1-2 (ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2009-10), แพ้ เบซิคตัส 0-1(ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก 2014-15), แพ้ บียาร์เรอัล 0-1(ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก 2015-16) และแพ้ โรม่า 2-4(ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2017-18) อย่างไรก็ตาม เกมล่าสุดซีซั่นนี้ เขาเป่าเกมหงส์ชนะ นาโปลี ที่แอนฟิลด์ 1-0 ตีตั๋วแชมเปี้ยนส์ลีก ในแมทช์สุดท้าย รอบแบ่งกลุ่ม
ขณะเดียวกัน สโคมิน่า เคยเป่า สเปอร์ส 3 นัด ไม่เคยชนะเลย ในเกมเสมอ อันเดอร์เลทช์ 1-1(ยูฟ่า คัพ 2007-08), แพ้ อินเตอร์ 3-4 (ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 2010-11) และเสมอ เบนฟิก้า 2-2(ยูโรป้าลีก 2012-13)
ทั้งนี้ สโคมิน่า จะทำงานร่วมกับผู้ช่วยผู้ตัดสิน ยูร์ พราโพรตนิค และโรเบิร์ต วูคาน โดยมี อันโตนิโอ มาเตว ลาโฮซ เป็นผู้ตัดสินที่ 4 ส่วนทีม VAR คือ แดนนี่ มัคเคลี่ เป็นหัวหน้า และผู้ช่วยคือ โพล ฟาน โบเคิ่ล, เฟลิกซ์ ซวาเยอร์ และมาร์ค บอร์สช์
มโนสาเร่นัดชิงชนะเลิศ
นี่เป็นครั้งที่ 5 ที่ชิงบิ๊กเอียร์ที่กรุงมาดริด จากที่เคยจัดมาปี 1957, 1969, 1980 และ2010 ทั้งหมดจัดขึ้นที่ซานดิอาโกเบอร์นาบิว ขณะที่ The ambassador ในแมทช์นี้คือ หลุยส์ การ์เซีย ที่เคยเล่นกับ แอตเลติโก มาดริด เจ้าของสนามอยู่ 2 สมัย และเคยได้แชมป์ถ้วยนี้กับ ลิเวอร์พูล ในค่ำคืนมหัศจรรย์ปี 2005 และพิธีเปิดจะมีการแสดงจากอินดี้ร็อกสัญชาติอเมริกัน “Imagine Dragons” และคู่นี้เป็นการชิงกันเองของทีมจากอังกฤษ ครั้งที่ 2 ในประวัติศาสตร์ ต่อจากปี 2008
สำหรับเรื่องแปลกอีกเรื่องก็คือ ทีมจากลอนดอนเข้าชิงถ้วยบิ๊กเอียร์ครั้งแรกออกจากสนามด้วยการแพ้ทั้งหมด นั่นคือ อาร์เซนอล ปี 2006 และ เชลซี ปี 2008
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี