เป็นข่าวดีของแฟนฟุตบอลเมื่อ จะได้ชมการปะทะกันของ “แซมบ้า” บราซิล กับ “ฟ้าขาว” อาร์เจนตินา ในทัวร์นาเมนท์สำคัญอีกครั้ง
เป็นหนแรกนับตั้งแต่นัดชิงชนะเลิศ โคปา อเมริกา 2007 นัดชิงชนะเลิศ ซึ่งหนนั้น บราซิล ชนะขาด 3-0 คว้าแชมป์ไปครอง
คราวนี้ทั้งสองทีมได้มาเจอกันในรอบตัดเชือก ที่จะหวดกันในช่วงเช้าวันพุธนี้ เวลา 07.30 น.
..............ย้อนกลับไปในการปะทะกันหนแรก เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 กันยายน 1914 ที่กรุงบัวโนสไอเรส ในเกมนัดกระชับมิตร ปรากฏว่า อาร์เจนตินา ผงาดกำชัยได้อย่างสวยงาม 3-0
กระทั่งการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์อเมริกาใต้ ปี 1925 เทียบเป็นปีพุทธศักราชก็ต้อง พ.ศ.2468 โน่นเลย!!!
ชื่อการแข่งขันอย่างเป็นทางการคือ 1925 South American Championship เป็นการชิงชัยถ้วยนี้ครั้งที่ 9 ที่ประเทศอาร์เจนตินา เกิดการปะทะครั้งแรกของทั้งสองทีมนี้
หนนั้นมีทีมเข้าร่วม 3 ทีม นั่นคือ อาร์เจนตินา, บราซิล และปารากวัย ทำให้ต้องเจอกันทีมละ 2 นัด
เกมนัดสุดท้าย วันที่ 25 ธันวาคม 1925 ตรงกับวันคริสต์มาส อาร์เจนตินา ที่ชนะมา 3 นัดติด มี 6 คะแนน พบกับ บราซิล ที่มีอยู่ 4 คะแนน เหมือนกับเกมนัดชิงชนะเลิศกลายๆ ที่สนามเอสตาดิโอ มินิสโตร ไบรน์ เซนกูเอล ในบัวโนสไอเรส
เกมแรกที่เจอกันมานั้น อาร์เจนตินา ชนะมา 4-1 แต่หนนี้ทำท่าจะไม่เหมือนเดิม........................
ท่ามกลางผู้ชมกว่า 30,000 คน ลูโดวิโซ่ บิโดกลิโอ ของอาร์เจนตินา จ่ายบอลคืนหลังพลาด โดน ลาการ์โต้ ดักบอลเอาไว้ได้ ก่อนจะจ่ายไปให้กับ อาร์ตูร์ ฟริเดเนไรช์ ซัดแบบเต็มตีนเตี่ยให้ บราซิล ออกนำในนาทีที่ 27
เท่านั้นยังไม่พอ นาทีที่ 30 นาโล่ มาสังหารให้ “แซมบ้า” หนีห่างเป็น 2-0
จากนั้นไม่นานเกิดปัญหาให้การแข่งขันต้องหยุดลงชั่วขณะเมื่อ เรม่อน มัตติส เข้าไปทำฟาวล์อย่างรุนแรงใส่ ฟริเดเนไรซ์ ทำให้ ฟริเดเนไรซ์ ตบะแตกเตะใส่ มัตติส คืนอย่างแรง แต่ มัตติส ก็ชกคืนเข้าที่ใบหน้าของ ฟริเดเนไรซ์ ทำให้นักเตะทั้งสองทีมพุ่งเข้าไปปะทะกัน
แถมยังมีแฟนฟุตบอลหลายคนลงมาผสมโรงด้วย
หลังจากความระอุหยุดลง ผู้ตัดสินตัดสินใจ “ไม่ไล่ใครออก” ทั้ง มัตติส และฟริเดเนไรซ์ หลังจากทั้งสองคนเข้าใจกัน พร้อมกับกอดกัน ให้อภัยกัน
กลับมาเล่นไม่นาน เซอร์ร็อตติ ทำประตูได้นาทีที่ 41 ทำให้ อาร์เจนตินา ไล่มา 1-2
ครึ่งหลังผ่านมาแค่ 10 นาที อาร์เจนตินา ตามตีเสมอได้จาก มานูเอล ซิโอเอเน่ ในนาทีที่ 55 ก่อนที่เกมนี้จะมีการปะทะกันอย่างรุนแรง ก่อนจะจบด้วยสกอร์ 2-2
อาร์เจนตินา ผงาดคว้าแชมป์ไปครอง
เหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้สื่อท้องถิ่นบางฉบับถึงกับเขียนว่า นี่คือ “สงครามแห่งบาร์ราคาส” หรือ “The Barracas’ War” มันรุนแรงถึงขั้น
ไม่ยอมแข่งขันด้วยกันอีกถึง 11 ปี!!!
● Pelé–Maradona rivalry
ในกาลต่อมา ทั้งสองประเทศมีสุดยอดนักฟุตบอลเกิดขึ้นในยุคที่ต่อเนื่องกัน
นั่นคือ “ไข่มุกดำ” เปเล่ แห่งบราซิล กับ “เสือเตี้ย” ดีเอโก้ มาราโดน่า แห่งอาร์เจนตินา
ที่มีปัญหาเดียวกับว่า “ไก่กับไข่....อะไรเกิดก่อนกัน”
ก็เพราะว่าตัดสินใจกันไม่ถูกว่า ใครเก่งกว่ากัน.......... ........
เริ่มจาก เปเล่ ยอดนักเตะที่รังสรรค์คำว่า “The Beautiful Game” คือคำจัดความของฟุตบอลในยุคของเขา
เอ๊ดสัน อารันเตส เดอ นาซิเมนโต้ คือชื่อเต็มของ เปเล่ ในครอบครัวที่เรียกแทนเขาว่า “ดีโก้” ก่อนที่ทั่วโลกจะรู้จักในนามของ “เปเล่”
นั่นคือชื่อที่เพื่อนในโรงเรียนใช้เรียกกองหน้าผู้นี้ แบบตอนแรกเจ้าตัวก็ไม่ได้ชอบเท่าไหร่นัก
เรื่องราวของ เปเล่ ถูกถ่ายทอดออกไปนับครั้งไม่ถ้วน จากเด็กหนุ่มที่ชีวิตไม่เคยโรยด้วยกลีบกุหลาบ ไม่มีเงินเรียน ต้องไปช่วยพ่อที่เป็นพนักงานทำความสะอาดห้องน้ำ วิธีการซ้อมฟุตบอลของเขาคือ ใช้ทุกสิ่งทุกอย่างที่สามารถเตะได้
ส่วนใหญ่ไม่ใช่ลูกฟุตบอลซะด้วย!!!
การยิงประตูมากที่สุดในโลก 1,281 ประตู จาก 1,363 เกม คือสถิติโลกที่บันทึกเอาไว้ในเกม “อย่างเป็นทางการ” ในนามแห่งทีมชาติ เปเล่ ทำสถิติลงเล่น 92 นัด ซัดไป 77 ประตู
เป็นนักกีฬาคนเดียวที่ครองแชมป์ฟุตบอลโลกมากที่สุด 3 สมัย ในปี 1958, 1962 และ 1970
เปเล่ แจ้งเกิดจากชัยชนะบนแผ่นดินสวีเดน กับแชมป์โลกสมัยแรก บนวัยเพียง 17 ปี 249 วัน ด้วยอายุน้อยที่สุดในโลก ภาพที่เขาร่ำไห้ปรากฏออกไปทั่วโลก จนโฟกัสว่า เด็กคนนี้เป็นใคร ทำไมถึงยิงประตูได้ยอดเยี่ยม เต็มเปี่ยมด้วยทักษะ และเยือกเย็นอย่างยิ่ง
พร้อมกับระเบิดประตูได้ถึง 6 ลูก โดยเฉพาะนัดชิงชนะเลิศ ยิงได้ 2 ลูก
การที่ เปเล่ ก้าวมาติดทีมชาติ นอกจากฝีเท้าดีแล้ว เขายังโชคดีที่รายล้อมไปด้วยสุดยอดขุนพลที่เคียงข้างเขา ทำให้ บราซิล จากเดิมที่เป็นทีมธรรมดา กลายเป็นราชันลูกหนังโลก
สุดยอดนักเตะเหล่านั้นประกอบด้วย ปี 1958 เขาเล่นเคียงข้างกับ ดีดี้, การ์รินช่า, มาริโอ ซากาโล่ และวาว่า, ปี 1962 เขาบาดเจ็บหนักตั้งแต่รอบแรก แต่ยังมี ดีดี้, การ์รินช่า, ซากาโล่ และวาว่า เคียงข้าง แถมยังมี ซิโต้ กับ อมาริลโด้ และปี 1970 เขาประสานพลังกับ ทอสเทา, ริเวลิโน่, แจร์ซินโญ่, เกาสัน และคาร์ลอส อัลแบร์โต้
4 สมัยในการเล่นฟุตบอลโลก เขายิงได้ทุกครั้ง รวมทั้งสิ้น 12 ประตู
เปเล่ เป็นแรงบันดาลใจหลายๆ อย่าง จากการที่ฟุตบอลโลก 1970 ถ่ายทอดสดด้วยระบบภาพสีเป็นครั้งแรก เขาโด่งดังแบบสุดๆ และการวางตัวอันยอดเยี่ยม กลายเป็น “เครื่องหมายการค้า” ในวงการลูกหนังโลก
ถึงจุดตรงนี้ถือว่า ต่างมิติกับ ดีเอโก้ มาราโดน่า อย่างสิ้นเชิง
จะว่าอย่างนั้นก็ได้เลย!!!
ดีโก้ หรือ ดีเอโก้ อาร์มานโด้ มาราโดน่า แห่งอาร์เจนตินา เสือเตี้ยมหัศจรรย์แห่งวงการลูกหนังอาร์เจนตินา และจักรวาลฟุตบอล
หลังจากเจ็บปวดไร้ชื่อชุดบอลโลก 1978 ทั้งที่เป็นดาวรุ่งที่ดังที่สุดแห่งยุคนั้น เรียกว่า ดังตั้งแต่ยังไม่ได้ไปบอลโลก
จากนั้นพวกเขาไม่ประสบความสำเร็จในบอลโลก ปี 1982 เมื่อตกรอบ 2 แต่ก็มาได้แชมป์โลกสมัยที่ 2 ในอีก 4 ปีต่อมา ที่ประเทศเม็กซิโก ภายใต้การนำทัพของ คาร์ลอส บิลาร์โด้
โดยมีขุนพลเอกที่ชื่อ ดีเอโก้ มาราโดน่า
มาราโดน่า ที่โดนไล่เตะกลิ้งเป็นลูกขนุนในบอลโลก ปี’82 แต่ในปี 1986 มาราโดน่า แข็งแกร่งเหนือดุจเทวดา ด้วยสไตล์ “ขวาไว้ยืน ซ้ายไว้ยิง”
เป็นนักบอลที่ก้าวไปถึงขั้นที่ว่า เลือกได้ว่าจะไปต่อ หรือว่าจะนอนกลิ้งเอาฟาวล์
ก่อนจะพาทีมครองแชมป์โลกได้สำเร็จ ด้วยการพิชิต เยอรมันตะวันตก 3-2 บนดินแดนเม็กซิโก
การเป็นแชมป์โลก ไม่ได้โด่งดังเท่ากับการทำประตูที่ “โกงที่สุด” และ “ดีที่สุด” ห่างกันเพียงแค่ไม่ถึง 5 นาที ในเกมรอบ 8 ทีมสุดท้ายกับ อังกฤษ ในช่วงที่สงครามเกาะฟอล์กแลนด์ ยังคุกรุ่น
ประตูปัญหา เป็นที่มาของบัญญัติคำบันลือโลกว่า “แฮนด์ ออฟ ก๊อด” เกิดขึ้นในนาทีที่ 51 มาราโดน่า ใช้มือปัดบอลผ่าน ปีเตอร์ ชิลตัน โกล์อังกฤษ เข้าประตู แบบเห็นกันทั้งโลกยกเว้นกรรมการกับไลน์แมน
ให้หลังจากนั้น 4 นาที มาราโดน่า ทำให้ทุกคนต้องตะลึงเมื่อเลี้ยงเดี่ยวกว่าครึ่งสนามหลบผู้เล่นอังกฤษครึ่งทีมเข้าไปยิงประตู ก่อน อาร์เจนตินา ชนะ 2-1
เขาบอกว่ามันคือ “หัตถ์พระเจ้า” ไม่ใช่จากมือของเขาเลย!!!
ชีวิตของเขาโชกโชน 4 ปีต่อมา มาราโดน่า ที่มีอาการบาดเจ็บทั้งตัว เล่นดีนัดเสียนัดก็จะแบกทีมเข้าถึงนัดชิงได้สำเร็จ ก่อนจะได้รองแชมป์โลก แต่ก็ทำแสบเมื่อเตะสองทีมสำคัญโดยเฉพาะ บราซิล กระเด็นตกรอบ 2
แถมยังเล่น “แฮนด์ ออฟ ก๊อด ภาค 2” ในเกมกับสหภาพโซเวียต แต่เป็นการสกัดจากเส้นประตู!!!
กระทั่ง ปี 1994 มาราโดน่า ที่กลับมาติดทีมชาติอีกครั้ง นำทีมกำชัยได้ในสองเกมแรก แต่ถูกอัปเปหิออกจากการแข่งขัน เนื่องจากใช้สารกระตุ้น จากนั้นทีมก็ตกรอบ 2 ปิดตำนานของเขาในฟุตบอลโลก
มาถึงบอลโลก 2010 มาราโดน่า กลับมาอีกครั้งในมาดของผู้จัดการทีม ปลุกผีทีมเข้ารอบสุดท้ายได้สำเร็จ แต่ก็ต้องมาตกรอบ 8 ทีม เมื่อแพ้ให้กับ เยอรมนี อีกครั้งแบบยับเยินถึง 0-4
ชีวิตคนละทิศกับ เปเล่
ก็คงจะให้ทุกคนตัดสินกันเองว่าสรุปแล้ว เปเล่ กับ มาราโดน่า ใครเก่งกว่ากัน!!!
● “South American El Clásico” นัดที่111
การดวลแข้งที่ผ่านมาของ บราซิล กับ อาร์เจนตินา ผ่านมาแล้วทั้งหมด 110 นัด สถิติถือว่าสูสีกันอย่างที่สุด
เพราะ บราซิล ชนะมากกว่า แต่ อาร์เจนตินา ยิงได้มากกว่า!
บราซิล ชนะ 40 อาร์เจนตินา ชนะ 38 และเสมอกัน 32 นัด โดยที่ บราซิล ยิงได้ 165 ส่วน อาร์เจนตินา ยิงได้ 170 ประตู
นับเฉพาะการปะทะกันในฟุตบอลโลก สองทีมนี้เจอกันในยุคของ “ฟีฟ่า เวิลด์คัพ” ในปี 1974 ที่เยอรมันตะวันตก ซึ่ง บราซิล ชนะ 2-1 จากนั้นในปี 1978 อาร์เจนตินา เป็นเจ้าภาพ แต่ทั้งคู่เสมอกัน 0-0 ที่โรซาริโอ ต่อด้วยฟุตบอลโลก 1982 บราซิล กำชัยในรอบแบ่งกลุ่ม รอบ 2 ขาดลอย 3-1 กระทั่งปี 1990 อาร์เจนตินา ชนะได้หนแรกที่ตูริน รอบ 2 หวุดหวิด 1-0
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี