เสื้อแข่งที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าของ ลิเวอร์พูล ปีหน้ายังไม่แน่ใจว่าจะเป็น NB หรือเปลี่ยนเป็นยี่ห้ออื่น
(ต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่แล้ว)
การไปอังกฤษครั้งนี้ของผมและคณะตะลุยอังกฤษพิชิตพรีเมียร์ 2019 ได้เห็นการเจริญเติบโตของเมืองลิเวอร์พูล สอดคล้องกับการเจริญเติบโตของสโมสร “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ฟุตบอล คลับ
การได้แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก คือความสำเร็จที่เป็นรูปธรรม เป็นความสำเร็จที่จับต้องได้
เมืองนี้จึงถูกจับตามองมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
การค้า การลงทุน และการเจริญทางสาธารณูปโภค รวมถึงการคมนาคม มีมากขึ้น ทำให้ผู้คนในเมืองคึกคัก ดูเหมือนกับว่า “มีความพร้อม” ในการต้อนรับผู้คนที่จะเดินทางมาในเมืองนี้
ยังคงเหมือนเดิมตรงที่ ลิเวอร์พูล คือหนึ่งใน 3 เมืองของสหราชอาณาจักรที่คนอยากจะไป เช่นเดียวกับ เอดินเบอระ กับ มหานครลอนดอน
ปีนี้ธุรกิจของสโมสรยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ร้านที่มีจำหน่ายในเมืองถึง 3 แห่งคนยังคงเนืองแน่น ทั้งที่แอนฟิลด์, ลิเวอร์พูล วัน และวิลเลียมสัน สแควร์
เช่นเดียวกับที่เมืองเชสเตอร์ ผมเดินทางไปอังกฤษครั้งนี้ แวะไปเชสเตอร์หนแรกในรอบ 2 ปี ก็ยังเห็นคนเดินเข้าช็อปของสโมสรอย่างไม่ขาดสาย
ที่น่าตกใจก็คือ วันที่ผมได้ไปสเตเดี้ยมทัวร์สนาม ถึงขนาดเจ้าหน้าที่มาถามว่า “เสื้อที่คุณใส่ซื้อที่ไหนมา?!?!?!”
วันนั้นผมใส่เสื้อสีดำ ซึ่งเป็นเสื้อของผู้รักษาประตูในซีซั่นนี้ที่ถูกถามถึงมากที่สุด ผมจึงตอบไปว่า จองผ่านทางเว็บไซต์และให้เพื่อนมารับเมื่อสองเดือนก่อน
“ผมอยากได้เสื้อตัวนี้มาก เพราะลูกชายผมวัย 6 ขวบเค้าอยากใส่ พวกผมอยู่ที่นี่แทบจะไม่มีใครได้ไว้เลย ยอดจองจากต่างประเทศเยอะมาก เป็นกระแสที่น่าตกใจจริงๆ” เจ้าหน้าที่ประจำซูเปอร์สโตร์ บอกกับผม
ผมถามกลับไปว่า เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว จะมีมาจำหน่ายอีกหรือเปล่า เค้าตอบกลับมาว่า มาอีกทีคือปลายเดือนกันยายนนี้
“ผมหวังว่า ลูกผมจะได้ใส่ รวมถึงผมด้วย 555” เขากล่าวกับผม
ความน่าสนใจก็คือ นอกจากประเด็น “เสื้อแข่ง” ที่ขายดีและถูกจับจองตั้งแต่ปรี-ออเดอร์ รวมไปถึงชุดขาว ที่เป็นชุดที่สอง และชุดที่สาม สีดำลายหงส์สี “พาติน่า” ก็ขายได้แบบถล่มทลาย จะพลาดอย่างเดียวก็คือ เสื้อประตูสีเขียว ที่ปีนี้ทำมา เป็นสีที่ค่อนข้าง “ใส่ได้ยาก”
ขณะที่เสื้อชุดซ้อมที่ปีนี้ได้สปอนเซอร์ใหม่อย่าง “AXA” หรือ กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิตในประเทศไทย ก็มีการเปิดปรีออเดอร์เช่นเดียวกัน
เรื่องนี้ไม่ค่อยได้เห็นกันง่ายๆ
สอดคล้องกับข่าวเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา กับ 2 เรื่องสำคัญมากๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นกับสโมสร
เริ่มจากเรื่องของการก่อสร้างเพิ่มเติมของสนามแอนฟิลด์
หลังจากเฝ้ารอกันมานานนับตั้งแต่ยุคต้นมิลเลนเนี่ยม การเปลี่ยนมือของเจ้าของสโมสร กระทั่งการ “ย้ายสนาม” จบลงเป็นการ “ต่อเติมสนาม” ในยุคของ จอห์น ดับเบิ้ลยู เฮนรี่
นั่นคือ “นิว เมน สแตนด์” เมื่อปี 2016
นาทีนี้ ลิเวอร์พูล ไม่สามารถจะทำอะไรเพิ่มเติมไปในฝั่งนั้น รวมถึงฝั่งตรงข้ามอย่าง เคนนี่ ดัลกลิช สแตนด์ หรือ เซ็นเทนนารี่ สแตนด์(เดิม)
แผนงานตอนนี้ก็คือ การปรับปรุงเพื่อเพิ่มขนาดความจุให้มากกว่า 60,000 ที่นั่ง ซึ่งนาทีปัจจุบันจุได้ 54,074 ที่นั่ง
แต่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของแฟนฟุตบอล
การปรับปรุงอัฒจันทร์ทำได้คือฝั่ง แอนฟิลด์ โร้ด เอนด์ ซึ่งเป็นแผนการเดียวกันในยุคที่ขอต่อเติมอัฒจันทร์ฝั่งเมน สแตนด์
ที่ผ่านมาสโมสรได้ลงทุนไปถึง 115 ล้านปอนด์ หรือกว่า 4.5 พันล้านบาท ฝั่งเมน สแตนด์ ซึ่งแผนงานในตอนนั้นก็คือ จะปรับปรุงฝั่งแอนฟิลด์ โร้ด เพิ่มอีก 4,000 ที่นั่ง
อย่างไรก็ตาม การเล็งเห็นอนาคตซึ่งคนธรรมดาอย่างเราท่านก็คงทราบดีว่า ถ้าจะเพิ่มอีก 4,000 ที่นั่ง ก็คงจะไม่เพียงพอแน่นอน ไหนๆ ก็จะทำแล้ว อยากจะให้ทะลุ 60,000 ที่นั่งไปเลย
ใบอนุญาตเดิมที่ขอเอาไว้ จะสิ้นสุดอายุสัญญาการขอในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ ยังผลให้ เฟนเวย์ สปอร์ตส์ กรุ๊ป มีแนวคิดที่จะขอใบอนุญาตใหม่
ทีนี้ก็คงจะต้องดูกันว่า จะเพิ่มแล้วที่นั่งจะเป็นอย่างไร การต่อเติมก็คงจะเน้นไปที่สูงขึ้น เนื่องจากของเดิมนั้นก็ติดกับถนนแอนฟิลด์ โร้ด อยู่แล้ว การจะสร้างทับพื้นที่ถนนคงจะเป็นไปได้ยากถึงยากที่สุด
หากนับเฉพาะปัจจุบันคือ สร้างให้สูงขึ้นไป เทียบกับฝั่งของ เมน สแตนด์
ทีนี้ก็จะเดือดร้อนกับคนดูว่า จะต้องก้มหน้าปวดคอดูบอล ประมาณนั้น
เพราะถ้าหากจะทำฝั่งสเปี้ยน ค็อป ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ เพราะนั่นก็ติดหลายจุด และก็ยังใกล้ วอลตัน เบรค สตรีท ที่เป็นเส้นทางเดินรถขนส่งมวลชน
อัฒจันทร์ฝั่งแอนฟิลด์ โร้ด เอนด์ เป้าหมายในการก่อสร้างใหม่ของสโมสรที่จะเพิ่มความจุแอนฟิลด์ ให้เป็น 60,000 ที่นั่ง
อีกหนึ่งประเด็นที่สำคัญ เรื่องที่สองก็คือ แบรนด์ใหม่ที่กำลังจะมา “ผลิตเสื้อ” ให้กับสโมสร
นาทีนี้ “ซูเปอร์สโตร์” ของสโมสร ไม่ได้ใช้เด็กๆ มาทำให้เกิดความล่าช้า แต่มีการจ้างงานเพื่อรองรับแฟนบอลที่แห่กันเข้ามาอย่างที่เขียนไว้ข้างต้นจากทั่วสารทิศ
ผมเคยเจอตรงที่เจ้าหน้าที่บอกว่า “คนจากทวีปเดียวกับคุณมาซื้อเสื้อไซส์ที่คุณต้องการไปหมดแล้ว”
แน่นอนครับ ตอนนี้ แอนฟิลด์ เป็นอีกสถานที่ที่ถูกบรรจุลงในทริปทัวร์ต่างๆ อย่างไม่เคอะเขิน หากเป็นเมื่อก่อนจะเป็นโอลด์ แทรฟฟอร์ด ของคู่ปรับสำคัญอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
เสื้อของลิเวอร์พูล ขายดีถล่มทลายจนขาดตลาด นับตั้งแต่ปีฉลอง 125 ปีของสโมสร เมื่อ 2 ฤดูกาลก่อน จนถึงปัจจุบัน
ทำให้ “ผู้ผลิต”อย่าง นิว บาลานซ์ หรือ NB ถูกจับตามองไม่แพ้กับสโมสร แล้วสุดท้ายก็ต้องมีคู่แข่งเป็นเรื่องธรรมดาในวงการธุรกิจ
แบรนด์ที่แรงสุดที่เข้ามาตอนนี้ก็คือ ไนกี้ หรือ NIKE
ย้อนกลับไปที่จุดกำเนิด “การทำเสื้อบอล” แบบช็อตคัท นั่นก็คือ ลิเวอร์พูล ฟุตบอล คลับ นี่แหละ คือเจ้าแรกเมื่อปี 1974
“อัมโบร” คือเจ้าแรกที่เข้ามาเซ็นสัญญาผลิตชุดแข่งให้กับสโมสร
ปีแรกที่มี “คนมาจ่ายเงินทำเสื้อ” หงส์แดงของปรมาจารย์ลูกหนัง “บิลล์ แชงคลี่ย์” พร้อมกับการได้แชมป์เอฟเอ คัพ ที่ป๊อปปูลาร์มากๆ ในสมัยนั้น ทำให้ยอดขายถล่มทลาย
ลิเวอร์พูล ทำธุรกิจกับ อัมโบร มาตั้งแต่วันนั้นจนถึงปี 1984 รวมเวลา 10 ปีเต็ม
จากนั้นในซีซั่น 1984-85 ก็มาเซ็นสัญญากับ “อาดิดาส” ขาใหญ่จากเยอรมนี
10 ปีต่อมา ลิเวอร์พูล มาเซ็นสัญญากับ “รีบอค” ในปี 1996 โดยทำสัญญากันยาว 10 ปีเช่นกัน
จากนั้นในปี 2006 ทีมกลับไปเซ็นสัญญากับ อาดิดาส อีกครั้ง คราวนี้อยู่กันด้วย 6 ปี
แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนมืออีกครั้ง ในยุค จอห์น ดับเบิ้ลยู เฮนรี่ ทำสัญญากับ “วอร์ริเออร์ส” แบรนด์จากบอสตัน พร้อมกับได้เงิน 150 ล้านปอนด์ โดยทำสัญญา 6 ปี ซึ่งตอนนั้นถือว่าแพงที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลกเป็นรองแค่ บาร์เซโลน่า
3 ปีต่อมา ก็เปลี่ยนแบรนด์มาเป็น “นิว บาลานซ์” ซึ่งก็ไม่ใช่อื่นไกล เพราะเป็นบริษัทแม่ของ “วอร์ริเออร์ส” นั่นเอง
ปัจจุบัน ลิเวอร์พูล ที่อยู่กับ นิว บาลานซ์ มาตั้งแต่ปี 2015 ตอนนี้สัญญาจะหมดลงเมื่อสิ้นสุดฤดูกาลนี้
ทั้งสองฝ่ายไม่มีข่าวมาก่อนว่าจะเจรจากัน
มีแต่ “ไนกี้” ที่เป็นข่าวมาเรื่อยๆ โดยเฉพาะตั้งแต่พวกเขาเสีย แมนฯยูไนเต็ด ไปให้กับ อาดิดาส เมื่อสองปีก่อน และปีนี้ก็มาเสีย แมนฯซิตี้ ไปให้กับ พูม่า ยิ่งถ้าย้อนกลับไป 4 ปีก่อนก็เสีย อาร์เซนอล ไปให้กับ พูม่า(ปัจจุบัน ปืน กลับไปใช้แบรนด์ อาดิดาส)
กลายเป็นว่า ไนกี้ ก็ต้องดิ้นกันหน่อย แม้จะมี ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ กับ เชลซี อยู่ในอ้อมอกก็ตาม
แต่ถ้าได้ ลิเวอร์พูล ที่กำลัง “หุงขึ้นหม้อ” ในตอนนี้ มันก็ย่อมดีกว่าไม่ดีแน่ๆ
ยิ่งมีข่าวว่า ลิเวอร์พูล จะรวยเละกับการเซ็นสัญญาใหม่ ที่ยังไม่รู้กับใครก็ไม่แน่ใจ พวกเขาจะทะลุขึ้นไปเป็นทีมฟุตบอลที่มีมูลค่าสูงสุดอันดับ 8 ของโลก
ข้อแม้ก็คือ จะต้องได้สัญญาเกิน 75 ล้านปอนด์ขึ้นไป เพื่อทุบสถิติของ แมนฯยูไนเต็ด ที่รับกับ อาดิดาส ในราคานี้
เชื่อว่า สัญญาใหม่ไม่ต่ำกว่า 80 ล้านปอนด์ แน่นอน
อยู่ที่ว่าจะเป็นใคร เพราะสัญญาเดิมมีการเปิดเผยว่า หาก ไนกี้ ยื่น 80 ล้านปอนด์ แล้ว นิว บาลานซ์ ยื่นสู้ในราคาเท่ากัน
ทีมจะต้องอยู่กับแบรนด์เดิม
แต่ไม่ว่าจะแบรนด์ไหน
สโมสรที่ใช้ตรานก “ไลเวอร์เบิร์ด” ไปแรงสุดในเรื่องการตลาดแบบฉุดไม่อยู่จริงๆ!!!
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี