เปิดฉากทำการจับสลากแบ่งสายกันไปเป็นที่ เรียบร้อยแล้ว สำหรับการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี รอบสุดท้าย ที่ประเทศไทย จะเป็นเจ้าภาพ ในระหว่างวันที่ 8-26 มกราคม 2563
โดยรายการนี้ นอกจากจะเป็นการชิงชัยการเป็นเจ้าเอเชียแล้ว ยังมีเส้นทางการลุ้นคว้าตั๋ว ไป โอลิมปิกส์ 2020 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น จำนวน 3 ที่นั่งเป็นเดิมพันอีกด้วย และจะเพิ่มเป็น 4 ทีมทันที ในกรณีที่ญี่ปุ่น เจ้าภาพโอลิมปิก ผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศรายการนี้
ทัพ “ช้างศึก” ทีมชาติไทย ในฐานะเจ้าภาพการแข่งขันครั้งนี้ ถูกจับเป็นทีมวางในโถแรก ซึ่งการแบ่งโถ จะเรียงดังนี้ โถ 1 ไทย, อุซเบกิสถาน (แชมป์เก่า), เวียดนาม, กาตาร์ โถ 2 เกาหลีใต้, อิรัก, ญี่ปุ่น, เกาหลีเหนือ โถ 3จีน, ออสเตรเลีย, จอร์แดน, ซาอุดีอาระเบีย โถ 4ซีเรีย, อิหร่าน, ยูเออี, บาห์เรน
สำหรับผู้จับสลากชี้ชะตาทุกทีมในครั้งนี้นั้นก็คือ อานนท์ อมรเลิศศักดิ์ ดาวเตะทีมชาติไทยชุดยู-23 ของสโมสร แบงค็อก ยูไนเต็ด นั่นเอง ซึ่งผลออกมาปรากฏว่า ทีมชาติไทย ที่อยู่ในสายเอ จะต้องดวลกับ อิรัก, ออสเตรเลีย และ บาห์เรน โดยเกมแรกทัพ “ช้างศึก” จะดวลกับ บาห์เรน ในวันที่ 8 ม.ค. นี้
สรุปผลการแบ่งสายทุกกลุ่มมีดังนี้กลุ่ม เอ ไทย, อิรัก, ออสเตรเลีย, บาห์เรน / กลุ่ม บี กาตาร์, ญี่ปุ่น, ซาอุดีอาระเบีย, ซีเรีย /กลุ่ม ซี อุซเบกิสถาน, เกาหลีใต้, จีน, อิหร่าน /กลุ่ม ดี เวียดนาม, เกาหลีเหนือ, จอร์แดน, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
ทั้งนี้ 4 สนามที่จะใช้ในการแข่งขันครั้งนี้จะประกอบไปด้วย สนามราชมังคลากีฬาสถาน กรุงเทพมหานครฯ, สนามมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต จ.ปทุมธานี, สนามช้างอารีนาา จ.บุรีรัมย์, สนามกีฬาติณสูลานนท์ จ.สงขลา ซึ่งตลอด 3 นัดในรอบแรก ไทย จะได้เตะที่ ราชมังคลากีฬาสถานทั้งหมด
โดยหลังจากผลจับสลากออกมา อากิระ นิชิโนะ กุนซือชาวญี่ปุ่น ที่ยืนยันว่าจะนำทัพคุมลูกทีมลงเตะในรายการนี้ด้วยตัวเอง ก็เผยถึงเป้าหมายว่าต้องการที่จะพาทีมชาติไทย คว้าโควตาไปลุยโอลิมปิก เกมส์ ที่บ้านเกิด ประเทศญี่ปุ่น ให้ได้แต่ทุกคนต้องพยายามทำงานหนัก เพื่อให้ไปให้ถึงจุดนั้น
“ไม่จะผลจับสลากจะเป็นอย่างไร แต่ในฐานะเจ้าภาพเราจะเตรียมตัวให้พร้อมที่สุด และพยายามทำให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะทีมไหนก็แล้วแต่ ทุกทีมต่างมีความสามารถที่ดีทั้งนั้น เราเองก็ต้องเตรียมทีมให้พร้อมที่สุด ในการสู้ศึกในครั้งนี้”
อากิระ นิชิโนะ กุนซือทีมชาติไทยชุดใหญ่ ยืนยันว่าจะคุมทัพ “ช้างศึก” ยู-23 ลงเล่นในรายการนี้ด้วยตัวเอง พร้อมตั้งเป้าพา ทีมชาติไทย ไปเตะ โตเกียวเกมส์ 2020 ให้ได้
“ผมคิดว่าในระดับรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ไม่มีใครเหนือกว่าใครชัดเจน ตัวผมก็ต้องหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับนักเตะของเรา รวมถึงคู่ต่อสู้ ในช่วงปลายปีนี้ เราจะมีโอกาสแข่งซีเกมส์ ช่วงเวลาหลังจากนี้เราก็จะพยายามเตรียมทีมรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ควบคู่ไปกับทีมชุดใหญ่ แน่นอนว่าการแข่งขันครั้งนี้ มีตั๋วไปโอลิมปิกเป็นเดิมพัน ซึ่งโอลิมปิกก็จะจัดที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นบ้านเกิดของผม ความรู้สึกส่วนตัวผมก็อยากจะทำให้ได้ แต่ก่อนที่เราจะทำให้ได้ เราก็ต้องทุ่มเทมากกว่านี้ ทำงานให้หนักมากกว่านี้ เราถึงจะไปได้
“ส่วนเรื่องปัญหาในตำแหน่งกองหน้าผมคิดว่าไม่ใช่แค่ประเทศไทย แต่คือทุกประเทศในเอเชีย เพราะลีกแต่ประเทศมักจะใช้กองหน้าต่างชาติ จากทวีปอื่นลงสนาม แต่ละประเทศ แต่ละทีมก็ต้องวิเคราะห์สภาพของตัวเองในปัจจุบัน และวางแผนอนาคตในระยะยาว ว่าเราจะพัฒนาศูนย์หน้าของทีมชาติอย่างไร” กุนซือแดนอาทิตย์อุทัยกล่าว
มุมมองส่วนตัวของผู้เขียนเชื่อว่า จาก 3 ทีมที่ร่วมสายกับไทยนั้น โอเคล่ะเป็นงานหนักแน่นอน กับการแข่งขันในรอบนี้ที่รวมมาแต่ เสือ, สิงห์, กระทิง, แรด แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะไม่มีโอกาสเลย ซึ่งรอบแบ่งกลุ่ม เป้าหมายที่จะผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายต่อไป ด้วยการเป็นอันดับ 2นั้นยังพอมีหวังอยู่
เริ่มจากนัดแรกของไทย ที่จะดวลกับ บาห์เรน เกมนี้เชื่อว่ามีโอกาสมากที่สุดแล้วที่เราจะคว้าชัยชนะได้ เพราะหากใครจำกันได้ ทัพ “ช้างศึก” ชุดใหญ่เพิ่งคว่ำ บาห์เรน 1-0 ในเกม เอเชี่ยนคัพ เมื่อต้นปีที่ ผ่านมา ซึ่งเกมนั้น ชนาธิปสรงกระสินธ์ เป็นผู้ซัดประตูชัย
ทีมชาติไทย ที่อยู่ในสายเอ จะต้องดวลกับ อิรัก, ออสเตรเลีย และ บาห์เรน โดยเกมแรกทัพ “ช้างศึก” จะดวลกับ บาห์เรน ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน ในวันที่ 8 ม.ค. 2563
ส่วนอีก 2 เกมที่เหลือ ที่เราจะพบกับ ออสเตรเลีย และ อิรัก นั้นเชื่อว่าโอกาสคว้าชัยเช่นกัน เพราะก่อนหน้านี้ ในทีมชุดใหญ่ เราก็สามารถเสมอทีมเหล่านี้ในบ้านมาแล้วในศึกฟุตบอลโลก 2018รอบคัดเลือก โซนเอเชีย เมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้ว
ในช่วงเวลานี้ นิชิโนะ นั้นยังมีเวลาเตรียมทีมหลังจากจบศึก ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก ในช่วงกลางเดือน พ.ย. จากนั้นทีมชาติไทย ชุดยู-23 จะได้ลงเล่นในศึก ซีเกมส์ ที่ฟิลิปปินส์ ตั้งแต่วันที่ 30 พ.ย.-11 ธ.ค. ซึ่งนั่นจะเปรียบเหมือนการอุ่นเครื่องเตรียมทีมที่ดีที่สุดในรายการนี้ได้เป็นอย่างดี
หากมองว่าครั้งไหนที่ทีมฟุตบอลไทย มีโอกาสเข้าใกล้การแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ มากที่สุด ก็คงต้องบอกว่าครั้งนี้นี่แหละ เพราะนอกจากการเจอสายที่ไม่หนักขนาดแข็งเป็นกระดูกอย่างพวก อิหร่าน,ญี่ปุ่น หรือ เกาหลีใต้ ที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากันคือ เราจะได้ลงเตะในประเทศไทยของตัวเอง และเชื่อว่าถึงเวลานั้น แฟนบอลชาวไทย จะเข้ามาชมเกมในสนามเต็มความจุ เพื่อส่งเสียงเชียร์ขุนพลแข้ง “ช้างศึก”
เหมือนที่เคยเป็นมาอย่างแน่นอน
กาลอป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี