พลตำรวจเอกสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ คนที่ 17 จะเป็นนายกสมัยที่ 2 ก็ต้องแก้ไขปัญหาไทยลีกขาดทุน คนดูลดปริมาณลงให้สำเร็จและก็ต้องหาผู้สนับสนุนฟุตบอลไทยลีกปี 2563 ให้ได้ให้ทีมอยู่รอด

ศึกลูกหนังโตโยต้าไทยลีก T1 ฤดูที่ 23 และลีก T2 เอ็ม-150 เดอะแชมเปี้ยนชิพที่มีสโมสรส่งเข้าแข่งขัน34 สโมสร น่าจะได้สโมสรแชมป์ทั้ง 2 ลีกเรียบร้อยแล้วในวันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคมนี้ สำหรับไทยลีก T1 แชมป์ก็น่าจะเป็นสโมสรหน้าเดิม คือ บุรีรัมย์ยูไนเต็ด ปราสาทสายฟ้า ที่คว้าโทรฟี่ที่ 26 และแชมป์ไทยลีกสมัยที่ 7ใน 10 ปีที่ผ่านมา ส่วนไทยลีก T2 เป็นทีมมหาเศรษฐีบางกอกกล๊าส ปทุมยูไนเต็ด กระต่ายสีน้ำเงิน ที่กลับเลื่อนขึ้นชั้นมา T1 อีกครั้ง

แต่ที่มองดูแล้วน่าเป็นห่วงมากคือการคงอยู่รอดของลีกอาชีพวงการฟุตบอลไทยยังไม่สามารถเติบโตได้อย่างแท้จริงไม่เหมือนในประเทศเพื่อนบ้านเอเชีย อย่าง จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ และอินโดนีเซีย ที่มีฐานแฟนบอลมากและผู้สนับสนุนมากพอในการทำให้ทีมอยู่รอดได้ ไทยลีกมีสภาพคล้ายเอ็มลีกมาเลเซีย, วีลีกเวียดนาม หรือเอสลีกของสิงคโปร์ ที่สภาพทีมพออยู่ได้มาจากนักการเมืองและบรรดามหาเศรษฐีที่รักฟุตบอลหรือบ้านเกิด ว่ากันแบบตรงๆ นับตั้งแต่เปลี่ยนคณะผู้บริหารสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์

จากคนเก่ามาเป็นคนใหม่แล้วตั้งแต่ปี 2559 จนถึงปีนี้ 2562 ปรากฏว่ากิจการฟุตบอลไทยลีกตั้งแต่ T1 ลงไปถึง T5 ลีกสมัครเล่น 5 ลีก จำนวนมากกว่า 130 สโมสร มีสโมสรที่สามารถทำกำไรและกิจการอยู่รอดได้มีแค่ 1 สโมสร นั่นคือ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่มีแฟนบอลที่เหนียวแน่นและมีรายได้มีกำไรเลี้ยงสโมสรเป็นกอบเป็นกำปีละมากกว่า 700 ล้านบาท ในบางปี

เพราะสามารถขายเสื้อฟุตบอลและของที่ระลึกได้มากกว่า 1 ล้านหน่วยเลยทีเดียว ซึ่งเสื้อตัวละ 690 บาท ขายได้เป็นเงินประมาณ 700 ล้านบาท ในขณะที่สโมสรบางแห่งขายเสื้อตัวละพันบาทขายได้ปีละไม่เกิน 50 ล้านบาท ซึ่งมันไม่พอเลี้ยงสโมสรได้เพราะค่าจ้างนักฟุตบอลมีวงเงินที่สูงปีละเป็นร้อยล้านบาท เหตุผลหนึ่งที่สโมสรไทยลีก T1 และ T2 ไปไม่รอดนอกจากรายได้ค่าผ่านประตู, รายได้ค่าขายเสื้อกับของที่ระลึกและรายได้จากสปอนเซอร์ต่างๆ รวมถึงค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดโทรทัศน์ปีละ 20 ล้านบาท แล้วรวมกันก็ยังไม่พอกับค่าใช้จ่ายต่างๆ ของสโมสร

ซึ่งประกอบด้วยค่าจ้างพนักงานของทีม ได้แก่ค่าจ้างผู้บริหารคือผู้จัดการสโมสร, ผู้อำนวยทีม,ผู้อำนวยการกีฬา, หัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์, หัวหน้าโค้ช, คณะผู้ฝึกสอน, คณะแพทย์, นักกายภาพบำบัด, เจ้าหน้าที่ทีม, เจ้าหน้าที่สโมสรและนักฟุตบอลทั้งไทยและต่างประเทศอีก 35 คน ซึ่งรวมแล้วทีมลีก T1ตกเดือนละมากกว่า 40 ถึง 50 ล้านบาท ปีละมากกว่า400 ล้านบาท หากเป็นทีมชั้นนำจริงๆ ซึ่งรายได้สูงไม่เพียงพอกับรายจ่ายแน่นอน

ย้อนมาดูรายได้จากค่าผ่านประตูของสโมสรชั้นนำของไทยลีก T1 ในปี 2562 ฤดูที่ 23 บุรีรัมย์ยูไนเต็ดแชมป์ 7 สมัย ปีนี้มีคนดูเฉลี่ยนัดละ 13,558 คนซึ่งยอดลดลงจาก 4 ปีที่แล้ว มีรายรับจากค่าผ่านประตูราว 40 ล้านบาทต่อปี ถ้าไม่มีค่าขายเสื้อและของที่ระลึกทีมอยู่ไม่ได้แน่นอน รองลงมา นครราชสีมา มาสด้ามีผู้ชมเฉลี่ยนัดละ 11,904 คน รายได้ค่าผ่านประตูได้ประมาณ 36 ล้านบาท อันดับ 3 เมืองทองยูไนเต็ด ทีมตรากิเลนผยอง มีคนดูเฉลี่ยนัดละ 9,000 คน มีรายได้ค่าผ่านประตูตลอดปีประมาณ 20 ล้านบาทอันดับ 4 สุพรรณบุรีเอฟซี คนดูนัดละ 6,000 คนรายได้ค่าผ่านประตูปีละ 18 ล้านบาท อันดับ 5การท่าเรือเอฟซีคนดูนัดละ 5,000 คน ค่าผ่านประตูจะได้ปีละ 15 ล้านบาท

ตอนนี้มีข่าวว่าสโมสรพีทีทีระยองเอฟซีทีมตราพลังเพลิงที่ตั้งที่มาบข่าสเตเดี้ยมระยองที่อยู่อันดับ 14 ของลีก T1 ปี 2562 ได้ประกาศพักทีมไม่ส่งเข้าแข่งขันแล้วเพราะข่าวบอกว่าผู้สนับสนุนหลักไม่สนับสนุนทีมแล้ว ซึ่งตกปีละ 120 ล้านบาท เพราะไม่สามารถแบกรับภาระค่าใช้จ่ายของทีมได้จึงต้องพักการส่งเข้าแข่งขันซึ่งเหมือนกับอีกหลายๆ สโมสรลีกอาชีพที่ต้องยุติเส้นทางในรูปแบบนี้ไปเพราะรายรับไม่พอกับรายจ่าย

ว่ากันว่าปีนี้เป็นปีสุดท้ายของการบริหารสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯของ “บิ๊กอ๊อด” พลตำรวจเอกสมยศพุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯปี 2563 เดือนมีนาคมต้องมีการเลือกตั้งนายกคนใหม่แล้ว ท่านนายกอยากเป็นต่อก็ต้องหาทางแก้ไขด่วน