กลายเป็นประเด็นอันร้อนแรงในโลกออนไลน์กับการที่ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ยักษ์ใหญ่แห่งวงการลูกหนังโลก
กำลังจะเปลี่ยนผู้ครอบครอง!!!
โมอาด มาห์ชูบ ยืนยันตนเองว่า เขาคือ ผู้อำนวยการด้านกิจการของรัฐบาล, ผู้ประสานภายนอก และคนดูแลเรื่องการติดต่อส่วนตัว ส่วนใน ทวิตเตอร์เขาบอกว่าตัวเองเป็นนักข่าว และผู้อำนวยการด้านการประชาสัมพันธ์ส่วนตัวของราชวงศ์ซาอุดีอาระเบีย
เขาเปิดเผยว่า นักลงทุนชาวซาอุดีอาระเบียได้ทำข้อตกลงซื้อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีกระแสลืออย่างต่อเนื่องว่า โมฮัมหมัด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งประเทศซาอุดีอาระเบีย ทรงสนพระทัย ที่จะเข้าเทคโอเวอร์ แมนฯ ยูไนเต็ด โดยจะให้ตัวแทนของพระองค์ทำการเข้าซื้อ
มีภาพของ ริชาร์ด อาร์โนลด์ผู้อำนวยการด้านการจัดการของ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็โผล่ไปที่ซาอุดีอาระเบีย มีคนจากเครือราชวงศ์ รวมถึงเจ้าหน้าที่ด้านการสื่อสารและกีฬารวมอยู่ด้วย
มาห์ชูบ ได้โพสต์ในทวิตเตอร์ พร้อมกับมีข้อความของเขาที่ว่า นักลงทุนชาวซาอุดีอาระเบียได้ซื้อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปเรียบร้อยแล้ว หลังจากคณะตัวแทนของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้เดินทางมาที่ซาอุดีอาระเบีย ตอนนี้ต้องรอดูการประกาศอย่างเป็นทางการจากสโมสรเกี่ยวกับผลลัพธ์ของการเจรจา
เรื่องดังกล่าวมันสอดคล้องกับการที่เจ้าชาย บิน ซัลมาน ทรงออกมาโพสต์ถึง แมนฯ ยูไนเต็ด เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคมที่ผ่านมาถึงการเข้าไปทำงานที่แมนฯยูไนเต็ด
จริงหรือไม่จริง ยังพิสูจน์ไม่ได้ แต่ที่แน่ๆ มันสร้างความตื่นเต้นให้กับวงการฟุตบอลอย่างมาก หลังจากกระแสเทคโอเวอร์ครั้งนี้ สวนทางกลับเมื่อครั้งที่ มัลคอล์ม เกลเซอร์ เข้ามาฮุบกิจการที่นี่อย่างสิ้นเชิง!!!!
ทำไมถึงเป็นแบบนั้น
ย้อนกลับไปเมื่อ 14 ปีที่แล้ว......
เกิดความขัดแย้งขั้นรุนแรง มีการประท้วงของแฟนบอล “ปีศาจแดง” ที่ไม่ต้องการให้ มัลคอล์ม เกลเซอร์ อภิมหาเศรษฐีใหญ่จากอเมริกา ครอบครองทีมแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
แต่สุดท้ายต้านไม่อยู่ ทำให้เกลเซอร์ กลายเป็น “ตำนานพรานล่าหุ้นพรีเมียร์ลีก”
เอาไว้เป็นกรณีศึกษาตลอดกาลแห่งวงการฟุตบอล
ในปี พ.ศ.2545 หรือ ปี ค.ศ.2002 เกลเซอร์ เริ่มขยับเข้ามายังวงการฟุตบอลอังกฤษ ที่กำลัง “ฮอตฮิต” กับการไล่ซื้อหุ้น หากเทียบกับบ้านเราก็คือยุคสมัยที่ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย
ต้องการจะขายหวยไปซื้อหุ้นหงส์ของ ลิเวอร์พูล นั้นเอง
ในยุคที่เข้ามาซื้อ “ปีศาจแดง” เกลเซอร์ คือมหาเศรษฐีติดอันดับที่ 244 ของโลกตามการจัดอันดับของนิตยสาร Forbes เมื่อปี พ.ศ. 2546 เพราะมีสินทรัพย์มูลค่าเกินกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์อเมริกัน
เกลเซอร์ กว้านซื้อหุ้นของแมนฯยูไนเต็ด โดยเฉพาะไตรมาสหลังของปี 2546 จากอัตราส่วนการถือหุ้น 3.17%ในเดือนกันยายน ไต่ระดับสู่ 14.30% ของจำนวนหุ้นรวมเมื่อสิ้นเดือนพฤศจิกายน2546
ในเวลานั้น คนที่ถือหุ้นมากที่สุดคือ คูบิค เอ็กซ์เพรสชั่น ที่มี 2 มหาเศรษฐีชาวไอริชเป็นเจ้าของนั่นก็คือ จอห์น แม็คเนียร์ และ เจ.พี. แม็คมานัส
ทำให้ในช่วงปลายปี 2546 แฟนบอลแมนยูฯ เริ่มมีปฏิกิริยาต่อต้าน แม็คเนียร์ กับ แม็คมานัส เพราะคาดกันว่า จะเป็นผู้มีโอกาสมากที่สุดในการรวบแมนฯยูไนเต็ด
แต่ถือว่าผิดคาดเต็มๆ
กระทั่ง เดือนเมษายน ปี 2547 ปรากฏว่า คูบิค เอ็กซ์เพรสชั่น นิ่งไม่ซื้อหุ้นอีกต่อไป แต่ในทางกลับกัน เกลเซอร์ ซื้อถึง 4.1 ล้านหุ้น ภายในระยะเวลาแค่เดือนเดียว ก่อนจะซื้ออีกถึง 2.41 ล้านหุ้นในเดือนมิถุนายน ส่งผลให้ เกลเซอร์ มีหุ้นถึง 50.27 ล้านหุ้น คิดเป็น 19.2 เปอร์เซ็นต์
แต่ก็ยังน้อยเกินไปที่จะครอบครองกิจการ เนื่องจากกฎหมายเมืองผู้ดี ระบุว่า หากจะเป็นเจ้าของได้ต้องถือหุ้นเกินกว่า 30 เปอร์เซ็นต์
ความพยายามของ เกลเซอร์ ยังไม่หยุด แม้เขาจะถูก คูบิคฯ ล้มโต๊ะการเจรจาในการขอซื้อหุ้น ทำให้เปลี่ยนเป้าไปซื้อในตลาด ขยับการถือหุ้นมาเป็น 28.11 เปอร์เซ็นต์ในเดือนตุลาคม
เมื่อเหตุการณ์มาถึงขนาดนั้น ทำให้ บอร์ดบริหารของ แมนฯยูไนเต็ด เริ่มไม่ไว้วางใจ แม้ว่า เกลเซอร์ กำลังจะเข้ามาคุยเรื่องการซื้อสโมสร
เรื่องของเรื่องก็คือ เงินที่มาซื้อหุ้นของแมนฯยูไนเต็ด เป็นเงินของเจ.พี.มอร์เกน ซึ่งเป็นผู้ให้บริการด้านการเงินการธนาคาร การลงทุน และการบริหารทรัพย์สิน ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
ประเด็นก็คือ แมนฯยูไนเต็ด ไม่แน่ใจว่า เกลเซอร์ ต้องการครอบกิจการอย่างเป็นมิตร หรืออย่างเป็นปรปักษ์ กระทั่งไม่ยอมเจรจากับ เกลเซอร์
จนมาถึงเดือนพฤศจิกายน 2547เกลเซอร์ ในฐานะผู้ถือหุ้น 28.11 เปอร์เซ็นต์ ได้ขัดขวางการแต่งตั้งบอร์ดบริหารของแมนฯยูไนเต็ด
แม้จะทำได้สำเร็จ แต่ เกลเซอร์ ต้องเสียพันธมิตรชั้นดีอย่าง เจพี มอร์แกนและ บรันสวิค ก็ยกเลิกการเป็นที่ปรึกษาด้านประชาสัมพันธ์ แต่ก็ยังมี ดอยช์ แบงก์ ที่ให้การช่วยเหลือ
ประเด็นดังกล่าวลุกลามใหญ่โตทำให้ แฟนบอลแมนฯยูไนเต็ด หลาย ๆ กลุ่ม อาทิ Shareholders United และ Independent Manchester United Supporters’ Association (IMUSA) ออกมาต่อต้าน
รวมไปถึง เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันกุนซือก็ไม่พอใจเช่นกัน
เหตุการณ์ตึงเครียดมากยิ่งขึ้น จนถึงวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2548 เกลเซอร์ สามารถครอบครองหุ้นได้เกินร้อยละ 70 หลังจากบรรลุข้อตกลงซื้อหุ้นของ แม็คเนียร์ และแม็คมานัส ที่ถืออยู่28.7 เปอร์เซ็นต์ รวมไปถึงซื้อจาก แฮร์รี่ ด็อบสัน ผู้ถือหุ้นอันดับ 3 ของทีม ทำให้ เกลเซอร์ ถือหุ้นเกิน 75 เปอร์เซ็นต์ทันที
ประเด็นนี้สร้างความไม่พอใจจนมีการประท้วงและขู่เอาชีวิตของ เกลเซอร์จากแฟนฟุตบอล พร้อมกับทำให้แฟนบอลออกไปตั้งทีมใหม่ชื่อว่า FC united of Manchester ในวันที่ 14 มิถุนายน 2548
มาในวันที่ 22 มิถุนายน เกลเซอร์ปฏิบัติการนำ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ออกจากตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนได้สำเร็จ จากนั้นอีก 8 วัน เขากวาดหุ้นมาครองได้ถึง 98 เปอร์เซ็นต์
เขาได้แต่งตั้งลูกชายสามคนของเขา โจเอล, อัฟราม และไบรอัน เข้าในคณะกรรมการบริหารทันที
แม้ว่าจะถูกถล่มเละจากแฟนบอล แต่ต้องยอมรับว่า เกลเซอร์ เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมาก ในด้านการหาโอกาสการลงทุนและการตลาด โดยเฉพาะการหาพันธมิตรทางการตลาดที่ยอดเยี่ยมแบบหาตัวจับยากมาก
เป็นการเดินเกมนานกว่า 2 ปีเพื่อครอบครอง จุดนี้เป็นจุดที่น่าศึกษา และน่าเกรงขามที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ รวมไปถึงลูกหนังโลก
สิ่งที่น่าติดตามก็คือ เป็นเรื่องจริงหรือลวงโลก ตรงที่ว่า เกลเซอร์ สร้างหนี้ให้กับสโมสรเอาไว้อย่างมากมาย เพราะมีข่าวปูดออกมาเมื่อสองปีก่อนว่ามีการนำเงินของทีมไปใช้หนี้เฉลี่ยแล้ววันละถึง 250,000 ปอนด์ หรือประมาณ 12.5 ล้านบาทเลยทีเดียว
ตอนนี้ มัลคอล์ม เกลเซอร์ ก็เสียชีวิตไปแล้ว 5 ปี และเมื่อคนต้นเรื่องไม่อยู่ กลายเป็นว่า ตระกูลเกลเซอร์โดนตำหนิอย่างมาก ที่ดูเหมือนกับว่า “ไม่จริงจัง” กับการทำทีม
แต่กลับไป “จริงจัง” กับการดูดเงินจากสโมสร
ทำให้กระแสการเทคโอเวอร์หนนี้เรียกเสียง “เฮ” มากกว่าเสียง “โฮ” ของแฟนบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
แต่บทจบจะเป็นอย่างไร
ตอนนี้ยังไม่มีใครกล้าตอบทั้งนั้น
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี