การแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ประจำวันอาทิตย์นี้ มีการปะทะแข้งกันทั้งหมด 2 คู่ โดยคู่เอกอยู่ที่สนามท็อตแน่มฮ็อทสเปอร์ สเตเดี้ยม ศึกดาร์บี้แมทช์ มหานครลอนดอน“ไก่เดือยทอง” ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ เปิดบ้านรับการมาเยือนของ “สิงห์บลูส์” เชลซี ในเวลา 23.30 น. โดยสองทีมนี้คะแนนสูสีกันสุดๆ หลังจาก 17 เกมแรก เชลซี มี 29 แต้ม และสเปอร์ส มี 28 แต้ม
เกมนี้ถือเป็นการปะทะฝีมือกันระหว่าง โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือสเปอร์ส ซึ่งเป็นอดีตกุนซือเชลซี ผู้มีส่วนสำคัญในการปลุกปั้น แฟรงค์ แลมพาร์ด จูเนียร์ กุนซือเชลซีคนปัจจุบัน ให้ก้าวเป็นนักเตะระดับโลก ในยุคที่ มูรินโญ่ คุมเชลซียุคแรก ระหว่างปี 2004-2007
ในยุคนั้น มูรินโญ่ เข้ามารับงานที่เดอะ บริดจ์ แทนที่ของ เคลาดิโอ รานิเอรี่ เมื่อซีซั่น 2004-05 โดยบทบาทของ แลมพาร์ด ในยุคนั้น มูรินโญ่ ได้วางให้เป็นมิดฟิลด์จอมทัพของทีม เล่นร่วมกับ โคล้ด มาเกเลเล่ เป็นหลัก พร้อมกับมีติอาโก้ เมนเดซ, ยีรี่ ยาโรซิซ และเฌเรมี่ เอ็นจิตั๊ป คอยสลับกันลง พร้อมกับนักเตะชั้นดีมากมาย อาทิ จอห์น เทอร์รี่,ดีดิเย่ร์ ดร็อกบา, ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่, โจ โคล, ไอเดอร์ กุ๊ดยอห์นเซ่น, อาร์เยน ร็อบเบน และเดเมี่ยน ดัฟฟ์ จนเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก สมัยแรกรอบ 50 ปี ด้วยการแพ้ในลีกแค่นัดเดียวเท่านั้น กระทั่ง มูรินโญ่ รีเทิร์นกลับมาคุมทัพ เชลซี อีกครั้งในซีซั่น 2013-14 โดยซีซั่นดังกล่าวนั้นเป็นซีซั่นสุดท้ายที่แลมพาร์ด ลงเล่นให้กับ เชลซี ก่อนย้ายทีมในที่สุด
ล่าสุดเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ทั้งสองคนได้ปะทะฝีมือกันในเกมลีกคัพ รอบ 3 ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2018 ปรากฏว่า แลมพาร์ด ที่คุมทัพ “ไอ้หัวแกะ” ดาร์บี้เคาน์ตี้ จากดิวิชั่น 2 หรือ เดอะ แชมเปี้ยนชิพ บุกมาชนะ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ มูรินโญ่ คุมทัพอยู่ ด้วยการดวลจุดโทษ 8-7 หลังจากเสมอกันในเวลา 2-2
ในส่วนของความพร้อมสำหรับนัดนี้ มูรินโญ่ หมดสิทธิ์ใช้บริการของ ตองกีย์ เอ็นดอมเบเล่ กองกลางค่าตัวแพงที่เจ็บต้องพักต่อไป รวมไปถึงนายประตูมือ 3 อย่าง มิเชล ฟอร์ม ก็เพิ่งกลับมาซ้อมเบาๆ หลังจากหายเจ็บน่อง ส่วนที่เจ็บอยู่ก่อนหน้านี้ทั้ง อูโก้ยอริส นายประตูกัปตันทีม, เอริค ลาเมล่า ตัวรุกอาร์เจนไตน์ และเบน เดวิส แบ๊คเวลส์หมดสิทธิ์ลงสนามทุกคน
ทางฝั่ง แลมพาร์ด ที่อยู่ในช่วงกดดันอีกครั้ง หลังจากฟอร์มหลังไม่ดี 5 เกมหลังในลีกแพ้ไปถึง 4 นัด แต่ยังดีที่ฟิกาโย่ โตโมรี่ ปราการหลังดาวรุ่งหายจากอาการบาดเจ็บกลับมาลงเล่นได้หลังจากวืดไป 2 เกม แต่ โอลิวิเยร์ ชิรูด์กับ รูเบน ลอฟตัส-ชีค ยังไม่พร้อมสำหรับเกมนี้
11 นักเตะที่คาดว่าจะลงสนาม : สเปอร์ส(4-2-3-1) เปาโล กาซซานิก้า-แซร์จ โอริเยร์, โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์,ดาวิซอน ซานเชซ, แยน แฟร์ตองเก้น-เอริค ดายเออร์, มุสซ่า ซิสโซโก้-ลูคัส มูร่า, เดเล่ อัลลี่, ซน ฮึง-มิน และแฮร์รี่ เคน
เชลซี (4-3-3) : เกปา อาร์ริซาบาลาก้า-เซซาร์ อัสปิลิกวยต้า, อันโตนิโอ รือดิเกอร์, ฟิกาโย่ โตโมรี่, เอแมร์ซอน-เอ็นโกโล่ ก็องเต้, จอร์จินโญ่, มาเตโอ โควาซิซ-วิลเลี่ยน, คริสเตียน พูลิซิซ และแทมมี่ อบราฮัม
สำหรับสถิติการพบกันของคู่นี้ เชลซี เหนือกว่าด้วยการชนะ 70 สเปอร์ส ชนะ 54 และเสมอกัน 40
อีกคู่ในเวลา 21.00 น. ที่สนามวิคาเรจ โร้ด “แตนอาละวาด” วัตฟอร์ด ทีมอันดับสุดท้ายของตาราง ที่มีแค่ 9 คะแนนจาก 17 นัด ดวลกับ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่มีอยู่ 25 คะแนน
เจ้าถิ่นเปลี่ยนกุนซือเป็นคำรบที่ 3 ของฤดูกาลนี้ แต่อาการยังคงยักแย่ยักยันและจมบ๊วยต่อเนื่อง แต่คะแนนตอนนี้ห่างจากโซนตกชั้นอยู่ 6 แต้ม ไนเจล เพียร์สัน กุนซือสั่งคุมซ้อมสุดเข้มเพื่อหวังเก็บทุกคะแนนเพื่อความอยู่รอด หลังจากเขาเคยทำแบบนี้ได้มาแล้วในการคุม เลสเตอร์ ซิตี้ เมื่อปี 2015
นัดนี้ อดัม มาซิน่า กับ โรแบร์โต้เปเรยร่า หายเจ็บพร้อมกลับมาลงตัวจริงแต่ ทอม เคลฟเวอร์ลี่ย์ กับ แดนนี่ เวลเบ๊ค อดีตสองนักเตะแมนฯยูไนเต็ด ยังเจ็บอดลงเล่นแน่นอน เช่นเดียวกับตัวหลักๆ อย่าง เซบาสเตียน โพเดิ้ล, โฆเซ่ โฮเลบาส และดารีล ยานมัต โดย เพียร์สัน จะจัดระบบ 4-2-3-1 ลงสู้ในนัดนี้ ซึ่ง ทรอย ดีนี่ย์ จะปักหลักยืนเป็นกองหน้าตัวเป้า
ทางด้าน โอเล่ กุนนาร์ โซลชา กุนซือนอร์วีเจี้ยนของแมนยฯู ยืนยันว่า จะไม่มีการปล่อย ปอล ป๊อกบา กองกลางจอมแฟชั่นออกไปจากทีม โดยเจ้าตัวกลับมาซ้อมแล้ว แต่ยังไม่พร้อมสำหรับเกมนี้ เช่นเดียวกับ เอริค ไบญี่, อังเจล โกเมส, ทิโมธี่ย์ โฟซู-เมนซ่าห์ และดีโอโก้ ดาโลต์
คาดว่า สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ จะยืนกลางกับ เฟร็ด เหมือนเดิม โดยวาง เจสซี่ ลินการ์ด, แดเนี่บล เจมส์ และมาร์คัส แรชฟอร์ด พร้อมกับให้ อองโตนี่ย์ มาร์กซิยาล ปักหลักยืนกองหน้าตัวเป้า
สถิติคู่นี้น่าสนใจอย่างมาก เมื่อ แมนฯยูไนเต็ด ชนะ วัตฟอร์ด ได้ถึง 16 จาก 17 เกมหลังสุด โดยเกมสุดท้ายที่ วัตฟอร์ด ชนะได้สำเร็จ ต้องย้อนกลับไปเมื่อ 18 กันยายน 2016 ส่วนสถิติพบกันตลอดกาลนั้น แมนฯยูไนเต็ด เหนือกว่าบานเบอะ ด้วยการชนะ 22 เสมอ 5 และวัตฟอร์ด ชนะ 5 นัดเท่านั้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี