การโคจรมาปะทะกันของ “หงส์แดง”ลิเวอร์พูล เอฟซี กับ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด มีความพิเศษอยู่เสมอ
หลายคนบอกว่า เดี๋ยวนี้ไม่เห็นเดือดเลยโน่นนั่นนี่ แต่สุดท้ายก็ดู....รู้นะ!!!
นัดนี้เป็นเกมที่ 2 ของฤดูกาล จะดวลกันที่แอนฟิลด์ ในเวลา 23.30 น. โดยเกมแรกที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด ทั้งคู่เสมอกัน 1-1 เป็นเกมเดียวของซีซั่นนี้ที่ผลออกมาเป็นการ “เสียคะแนน” ของ ลิเวอร์พูล
ที่เหลือ “หงส์แดง” เช็คบิลคู่แข่งได้ทั้งหมด
ปีก่อน ลิเวอร์พูล ถลุง 3-1 เป็นเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของแมนฯยูไนเต็ด อีกครั้ง เมื่อต้องปลด โชเซ่ มูรินโญ่ออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีม
ส่วนปีนี้ไม่น่าจะมีอะไรสะเทือนถึงการเปลี่ยนแปลงแบบนั้น แต่มันจะมีผลต่อการตัดสินใจในอนาคตอย่างไม่ต้องสงสัย
หาก ลิเวอร์พูล พลาดพลั้งขึ้นมาน่าสนใจกับช่วงเวลาที่เหลือในซีซั่น หลังจากทำคะแนนหนีห่าง และหาก แมนฯยูไนเต็ด พลาดขึ้นมา แน่นอนว่า โอเล่ กุนนาร์ โซลชาไม่น่าจะอยู่นานเกินไปกว่านี้
ก่อนแข่งอันดับห่างกันเมื่อดูจากตารางคะแนนแล้ว “ไม่เยอะ” นั่นคือ ลิเวอร์พูล อันดับ 1 และ แมนฯยูไนเต็ด อันดับ 5
แต่เมื่อพิจารณาจากคะแนนมันน่าตกใจที่ ลิเวอร์พูล เตะ 21 นัด มี 61 คะแนน นำห่าง แมนฯยูไนเต็ด ที่เตะไป 22 นัดห่างไกลถึง 27 คะแนน เลยทีเดียว
l เส้นทางที่เหมือนกันโดยบังเอิญ
ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่า ลิเวอร์พูล กับ แมนฯยูไนเต็ด เหมือนกันแบบบังเอิญในซีซั่นนี้
ทั้งคู่แทบจะไม่ได้จัดนักเตะที่ “ดีที่สุด”ลงสนามพร้อมเพรียงกันเลย
เริ่มจากฝั่ง ลิเวอร์พูล ก่อน ที่ปีนี้ไม่เคยได้จัด “11ตัวจริงในดวงใจ” ของเจอร์เก้น คล็อปป์ ได้เลยแม้แต่เกมเดียวจาก 21 นัดแรก
ฟอร์มการเล่น กับ ชัยชนะที่พังสถิติต่างๆ ราบคาบเป็นหน้ากลอง ไม่ใช่แค่ในประเทศ แต่ทำสถิติใหม่ในระดับบอลลีกยุโรป เรื่องดังกล่าวได้บดบังเรื่องนี้ไปหมดสิ้น
เรื่องของ “ระบบทีม” ที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ สร้างขึ้นมาทำให้ทีมเดินหน้าฝ่าวิกฤติปัญหานักเตะเจ็บอย่างไม่น่าเป็นไปได้
ในระบบ 4-3-3 คล็อปป์ เลือกใช้ในการสตาร์ทมาตั้งแต่ต้นปีปฏิทิน 2019 หากหลับตาก็นึกออกว่า 11 ตัวจริงหน้าตาจะออกเป็น อลิสซอน เบ๊คเกอร์, เทรนท์
อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โฌแอล มาติ๊ป,เฟอร์จีล ฟาน ไดจ์ค, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน, ฟาบินโญ่, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, จอร์จินโญ่ ไวจ์นัลดุม, โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอมาเน่ และโรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่
21 นัดผ่านไป พวกเขาไม่เคยได้ออกสตาร์ทพร้อมกัน!!!
โอกาสใกล้เคียงที่สุด หลังจาก “คล็อปป์ ทีม” เป็นรูปเป็นร่างก็คือ เกมที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด ในนัดที่ 9 ของฤดูกาล เมื่อ 20 ตุลาคมปีที่แล้ว เมื่อ อลิสซอน หายเจ็บกลับมานับตั้งแต่เดี้ยงไปในนัดเปิดสนามกับ นอริช ซิตี้
ปรากฏว่า โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ก็ไม่ผ่านความฟิตอดลงสนาม
จบจากเกมนั้น โฌแอล มาติ๊ป ก็หายไปจากทีมชุดใหญ่ เพราะบาดเจ็บ ต่อด้วยฟาบินโญ่ กองกลางหัวใจสำคัญก็ต้องออกจากสนามไปตั้งแต่ 19 นาทีแรกในเกมแชมเปี้ยนส์ลีก กับ นาโปลี ในอีกหนึ่งเดือนต่อมา
เท่ากับว่า ลิเวอร์พูล ไม่เคยได้จัด 11 ตัวจริงในใจของ เจอร์เก้น คล็อปป์ เลยในซีซั่นนี้
แถมปีนี้การหมุนเวียนนักเตะทั้งก่อนเกม และระหว่างเกมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ดูลงตัวมากๆ ซึ่งไม่แน่ใจว่ามาจาก “เปลี่ยนตัวดี” หรือ “ตัวเปลี่ยนดี” กันแน่
ภาพตัดกลับมาในเกมนี้ มีโอกาสที่ “11 ตัวแรกสุด” อาจจะได้สิทธิ์ยืนในสนามเมื่อทั้ง ฟาบินโญ่ และโฌแอล มาติ๊ป ต่างฟิตกลับมาแล้ว แต่ก็เชื่อว่า หากเบียดได้ก็เต็มที่จะมีแค่คนเดียวเท่านั้นที่ได้ลงสนาม
ขณะที่ แมนฯยูไนเต็ด มีปัญหาแทบจะทั้งระบบ ในเรื่องของตัวนักเตะ, การบริหารจัดการ และแผนการเล่นในยุคของ โอเล่กุนนาร์ โซลชา ที่ลองผิดลองถูกอยู่บ่อยครั้ง กับระบบ 4-3-3 หรือ 4-2-3-1
หรือหลายๆ แมทช์เลือกเล่น 3-5-2 หนึ่งในนั้นคือวันแดงเดือดในถิ่นตัวเอง
อาการบาดเจ็บเล่นงานนักเตะในทีมจนงอมพระรามไปหมด โดยเฉพาะ ปอล ป็อกบา กองกลางหัวใจสำคัญที่สามารถพลิกเกมได้ ก็แทบจะไม่ได้เล่นเลยในซีซั่นนี้
ขณะที่ ลุค ชอว์ ก็เพิ่งหาย แต่ สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ ที่ยกระดับขึ้นมาได้อย่างน่าสนใจก็มาเดี้ยงไปอีก
กระทั่ง อักเซล ตวนเซเบ้ ยังวอร์มเจ็บในเกมแดงเดือด จนต้องให้ มาร์กอสโรโฮ ลงเล่นแทนตั้งแต่เกมยังไม่เริ่ม!!!
ฝั่ง หงส์แดง เองก็ไม่ยอมน้อยหน้าอย่างสองเกมก่อนหน้านี้ นาบี เกอิต้า ดันเจ็บตอนวอร์มอดเล่นเกมกับ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด เช่นเดียวกัน!!!
อย่างไรก็ตาม แม้เทพีแห่งโชคจะไม่เข้าข้างเรื่องอาการบาดเจ็บเหมือนกัน แต่ผลงานกลับออกมาต่างกันอย่างสิ้นเชิง
l ตลาดซื้อขายสวนทางกัน
การเดินเข้าสู่ตลาดนักเตะในซีซั่นนี้ สร้างความประหลาดใจให้กับแฟนบอลทั้งสองฝั่ง เมื่อฝ่ายหนึ่งจะซื้อแต่ก็ซื้อไม่ได้ แต่อีกฝ่ายที่คาดกันว่าจะต้องซื้อแน่ๆ กลับจ่ายเงินออกไปอย่างจุ๋มจิ๋มสุดๆ
การเป็นแชมป์ยุโรปของ ลิเวอร์พูลดูเหมือนว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ จะเข้าเข้าตลาดแบบดุดัน เสริมโหดแต่สุดท้ายเขาไปคว้าเด็กหนุ่มที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะไหวมั้ยอย่าง เซปป์ ฟาน เดน เบิร์ก ในราคาเพียง 1.3 ล้านปอนด์ และดาวรุ่งอย่าง ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ จากฟูแล่ม พร้อมกับดึงสองนายประตูมาสำรองแบบไม่มีค่าตัวทั้งอาเดรียน และแอนดี้ โลเนอร์แกน
กระทั่งตลาดหน้าหนาว ลิเวอร์พูล เปิดตัว ทาคูมิ มินามิโนะ ด้วยราคา 7.25 ล้านปอนด์ ตอนนี้ใช้เงินไป 8.55 ล้านปอนด์ ในยุคสมัยนี้ถือว่ายากมากๆ ในการเสริมทัพต่อซีซั่น และเล่นแร่แปรธาตุ ปล่อยนักบอลออกไปได้เงินกลับมาเกือบๆ 40 ล้านปอนด์
ขณะเดียวกันฝั่งของ แมนฯยูไนเต็ด พยายามเดินเข้าตลาด แต่ดูเหมือนกับบอร์ดบริหารไม่ได้ “ใช้ความพยายาม” อย่างที่ควรเป็น พวกเขาซื้อนักเตะไปกว่า 100 ล้านปอนด์ ทั้งการมาของ แฮร์รี่ แม็คไกวร์จากเลสเตอร์ ซิตี้, แอร่อน วาน-บิสซาก้าจากคริสตัล พาเลซ และแดเนี่ยล เจมส์ จากสวอนซี ซิตี้
แต่พูดก็พูดเถอะ ตำแหน่งที่ต้องเสริมอย่างน้อยอีก 2 ตัว ในแผงมิดฟิลด์กลับไม่ได้ใครมาเลย
ถือเป็นเรื่องผิดวิสัยของ เอ๊ด วู้ดเวิร์ด ที่เช็คบิลใครไม่ได้เลยทั้ง เจมส์ แมดดิสัน, คริสเตียน เอริคเซ่น หรือดาวดัง 48 ชั่วโมงอย่าง บรูโน่ แฟร์นานด์ส
ที่ตอนนี้ก็มา 48 ชั่วโมง อีกครั้งในหน้าหนาว
มันเป็นแผลเรื้อรังของแมนฯยูไนเต็ด ที่ทำให้ผลงานออกมา “วนลูป” อย่างที่ถูกหยิบยกมาพูดกันอยู่ตลอดเวย์
l ระบบที่แน่นอน-แผนเฉพาะหน้า
ลิเวอร์พูล มีนักเตะที่ก้าวขึ้นมาอยู่ในระดับท็อปมากมาย นักเตะหลายคนรอบจัด และรักษาผลงานได้อย่างน่าประทับใจมากๆ
การเติม อลิสซอน เบ๊คเกอร์ กับ เฟอร์จีล ฟาน ไดจ์ค เข้ามาเสริมทัพ ได้สร้างอิมแพ็กให้กับทีมอย่างมาก จากเกมรับที่เคยมีปัญหามาตลอดนับสิบปี ได้ถูกแก้ไขได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
ยุทธวิธีการเล่นก็เปลี่ยนไป เมื่อแผน 4-3-3 แต่พอเซตบอล คนที่เล่น “มิดฟิลด์ตัวกลาง” จะลงมาเชื่อมกับคู่เซ็นเตอร์แบ๊ก กลายเป็นยืนกัน 3 คน แล้วแบ๊กซ้าย-ขวาขึ้นไปเติมเป็นกลยุทธ์สำคัญ ในการเพิ่มประสิทธิภาพเกมรุกด้านข้าง เพื่อให้เปิดบอลในหน้ากว้างได้มากยิ่งขึ้น
แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน กับ เทรนท์อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เติบโตขึ้นมาพร้อมกัน การเล่นสอดประสานกับ “บ็อกซ์ ทู บ็อกซ์” ทั้งสองคน หากเป็น จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กับ จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม คือลงตัวสุดๆ เพราะสองคนนี้ทำให้ที่ “บล็อกไลน์”คู่แข่งได้ดี ทำให้ โรเบิร์ตสัน กับเทรนท์ ทำงานง่ายขึ้น เพื่อประสานกับ3 แดนบนที่อันตรายทุกนาที
โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ เชื่อมทุกสิ่งอย่างในพื้นที่ของเขา ขณะที่ ซาดิโอ มาเน่ยกระดับขึ้นมาอย่างน่ากลัว ส่วน โมฮาเหม็ดซาลาห์ ฟอร์มไม่ได้แรงเหมือนเดิม แต่เมื่อยังยิงประตูได้อย่างต่อเนื่อง มันก็เพียงพอสำหรับนักเตะเกมรุกตำแหน่ง “กองหน้าด้านข้าง”
ขณะที่ แมนฯยูไนเต็ด แผนที่เห็นชัดเจนขึ้นคือ 4-2-3-1 แต่เชื่อว่า เมื่อมาเยือนแอนฟิลด์ โอกาสที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาจะกลับไปรื้อ 3-5-2 มาใช้ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะพวกเขาต้องรับให้เหนียวที่สุด และต้องโต้กลับให้ได้แรงที่สุดเท่าที่จะทำได้
แม้ว่าระบบกองหลังหน้ากระดานจะดูเหมาะที่สุด แต่ด้วยเหตุผลก็คือ กองกลางไม่แข็งแกร่ง อาจทำให้ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาต้องหันไปหาใครสักคนมายืนช่วย วิคเตอร์ ลินเดอเลิฟ กับ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ ในการยืนกองหลัง 3 คน เป็นไปได้อาจจะเห็น ฟิล โจนส์ เพราะที่เหลือนั้นเจ็บอยู่ทั้งหมด หรือเมื่อทางเลือกเหมือนกับจะเลือกไม่ได้
โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ก็น่าจะมาในแผนที่ตัวเองถนัดที่สุดในตอนนี้ และทางเลือกมันมีมากกว่ากับการต้องใช้เซ็นเตอร์ 3 คน
ฆวน มาต้า เสือเฒ่ากลับมาฟอร์มดีกว่าคนหนุ่มที่พึ่งไม่ค่อยได้อย่าง เจสซี่ลินการ์ด ปัญหาคืออาการเจ็บล่าสุดของ มาร์คัส แรชฟอร์ด ว่าจะไหวหรือไม่ไหว เพราะเขาคือของแสลงของ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ นั่นเอง
ตกผลึกความคิดสุดท้ายก่อนลงสนามเกมนี้ของ โอเล่ โซลชา สำคัญมากๆ ว่า จะปรับตามคู่แข่ง หรือเล่นให้มาเป็นไปตามความถนัดของตัวเอง
เท่ากับว่า ลิเวอร์พูล มาเล่นแผน4-3-3 แน่นอน และเชื่อว่าจะกดใส่ตั้งแต่เริ่มเกม ส่วน แมนยูฯ นาทีนี้ ไม่ว่าจะมาแผนไหน ก็จะเลือกพิงเชือกแล้วรอสวนอย่างเดียว
l ผ่าเกมวันแดงเดือด2020
ว่ากันว่า นี่คือศึกแห่งศักดิ์ศรีที่มีทุกอย่างมากกว่าในสนาม และมันไม่ง่ายเลยเมื่อทั้งสองทีมโคจรมาเจอกันไม่ว่าจะอยู่ในสถานะไหนก็ตาม
แมนฯยูไนเต็ด เล่นดีที่สุดนัดหนึ่งในฤดูกาล ก็คือการเสมอกับ ลิเวอร์พูล แต่พวกเขาต้องเล่นให้ดีตลอดทั้งเกม เพราะนัดที่แล้วเสียสมาธินิดเดียวก็โดนลงโทษตีเสมอทันที
นัดก่อน ลิเวอร์พูล แสดงให้เห็นถึงการเล่นเพรสซิ่ง ที่ดุเดือด และพาสซิ่ง ที่น่าเกรงขาม การเข้าใจในแผนการเล่นของโค้ชถือว่าสำคัญมากๆ ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนกับว่า นักเตะตรานกไลเวอร์เบิร์ด พร้อมจะทำในสิ่งที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ต้องการ
ทางรอดของ แมนฯยูไนเต็ด นั่นก็คือสมาธิที่ต่อเนื่อง การทำทุกอย่างที่ให้บอลไดเร็กสัมฤทธิผล และแม่นยำที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะพวกเขาจะโดนเพรสซิ่งจากทุกทิศทุกทาง
ดังนั้นบอลยาวต้องแม่น ที่สำคัญข้างหน้าต้องคมมากๆ เพราะความเร็วของแนวรุกทุกคน น่าจะเล่นเกมโต้กลับได้อย่างน่าสนใจ
ทุกอย่างเกิดขึ้นได้เสมอที่แอนฟิลด์.....ทุกอย่างเกิดขึ้นได้เสมอในวันแดงเดือด
แม้ว่าจะไม่ใช่ “ทุกครั้ง” เสมอไปก็ตาม!!!
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี