“หงส์แดง” ลิเวอร์พูล เอาชนะคู่ปรับตลอดกาลอย่าง “ปีศาจแดง”แมนฯยูไนเต็ด ลงได้ 2-0 ในเกมที่ระทึกใจตลอดทั้งเกมที่แอนฟิลด์
ทั้งสองฝ่ายชิงจังหวะสู้กันได้อย่างสมศักดิ์ศรี...
ลิเวอร์พูล มากันแบบชุดเดิมในเกมบุกหักคอไก่ ท็อตแน่มฮ็อทสเปอร์ แม้จะได้ ฟาบินโญ่ คืนมา แต่ เจอร์เก้น คล็อปป์เลือกทีมที่กำลังเล่นร่วมกันได้ดี ร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่กันต่อไป
เป็นตามที่ได้คาดเอาไว้ว่า แมนฯยูไนเต็ด อาจเลือกเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ 3 คนลงสนาม แล้วก็เกิดขึ้นจริง แต่ไม่มีใครคิดหรอกว่า ลุค ชอว์จะเป็นทางเลือกนี้ของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ส่วนเกมรุกทิ้ง 2 คนไว้ข้างหน้าเหมือนกับการเจอกันหนแรกที่โอลด์ แทรฟฟอร์ดแต่หนนี้คือ อองโตนี่ย์ มาร์กซิยาล กับ แดเนี่ยล เจมส์ เนื่องจาก มาร์คัส แรชฟอร์ด บาดเจ็บ
เกมเริ่มต้นด้วยแดนกลางที่แน่นมาก เพราะ แมนฯยูไนเต็ด อัด 3 คน เป็น 2 ชั้น รวม 6 คน ใช้กลางซ้อนแบ๊ก ทำให้ 10 นาทีแรกเกมมันตื้อตันไปหมด เพราะ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ กับ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน สองแบ๊กจอมบุกของลิเวอร์พูล ไม่สามารถเติมขึ้นได้เลย
กระทั่งมาได้ประตูนำจากลูกพิเศษจากการโหม่งของเฟอร์จีล ฟาน ไดจ์ค ที่เล่นร่วมกับ โจ โกเมซ ได้อย่างลงตัว
ลูกแบบนี้คือซ้อมมา
จังหวะมันอยู่ที่พอได้ลูกเตะมุม แมนยูฯเองที่พลาดเมื่อส่งตัวประกบคนละไซซ์มาเข้าคู่กับ ฟาน ไดจ์ค แต่ในขณะเดียวกัน โกเมซ ก็ไปปิดไลน์ของ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ทำให้เข้ามาช่วยปิด ฟาน ไดจ์ค ไม่ทัน
โหม่งเต็มกบาลแบบนั้น จังหวะจะจะแบบนี้ เด เคอาหมดสิทธิ์จริงๆ
เป็นแอสซิสต์ที่ 9 ของ เทรนท์ ซีซั่นนี้ในลีกอีกด้วย
จากนั้นบอลมันแน่นๆ จะเห็นได้ว่า “บ็อกซ์ ทู บ็อกซ์”ทั้งสองฝั่ง ถูกสั่งให้ไปเดินเกมด้านกว้างมากยิ่งขึ้น เพื่อเปิดพื้นที่ในแดนกลางให้มากขึ้น แต่สองลูกที่ทำได้เพิ่มถูกปฎิเสธแต่ก็ต้องยอมรับ
ฟาน ไดจ์ค ไปฟาวล์ เด เคอา ก่อนที่ ฟีร์มิโน่ จะปั่นเข้าไปอย่างสุดสวย และอีกลูกคือ ไวจ์นัลดุม ทะลุไปยิงแต่ล้ำหน้าไปนิดเดียว
เท่านั้น
แมนฯยูไนเต็ด ที่เล่นอย่างอดทนมากๆ เกือบจะทำให้ช็อกได้ เมื่อจังหวะเสียสมาธินิดเดียวเท่านั้น เมื่อ ซาดิโอ มาเน่ ไม่ตามลงมา แต่ อันเดรส เปเรยร่า ชาร์จอีกกี่ทีลูกนั้นก็ต้องเข้า
แต่ดันชาร์จไม่โดน!!!
ครึ่งหลัง คล็อปป์ สั่งเล่น “เกเก้น เพรสซิ่ง” หนักมาก
หงส์ลุยแหลก และมันน่าจะจบเร็ว เพราะโอกาสมากมายจริงๆไม่ว่าจะเป็น โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ยิงลูกหน้าโกล์โล่งๆ ออกไปแบบเหลือเชื่อ, ซาดิโอ มาเน่ ยิงไม่ตรงกรอบ, จอร์แดน เฮนเดอร์สันซัดด้วยซ้ายชนเสา เพราะปลายนิ้วสัมผัสของ เด เคอา และ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ซัดไกลยังติดเซฟ
เมื่อยิงไม่ได้ และใช้พลังไปอย่างหนักใน 10 นาทีแรกหงส์เกือบพังเพราะสมาธิหลุดอีกสองหนติด หนแรกจาก เทรนท์ทุ่มไม่ดี แต่ เฟร็ด ยิงออก ตามด้วย โกเมซ ไปปล่อยให้ มาร์กซิยาล ทะลุไปในกรอบโทษ แต่เลือกยิงแรงเกินไปเลยไม่เข้าบอลข้ามคานแบบไม่น่าเป็นไปได้
แมนยูฯ แก้แผนด้วยการใช้แบ๊กดันสูเพื่อกดดันไม่ให้แบ๊กลิเวอร์พูลได้เติม และครองบอลได้ดีมากยิ่งขึ้น
หลังจากบี้ไปสักระยะ อ็อกซ์เลด ถูกถอดออกอีกครั้งแล้วให้ อดัม ลัลลาน่า ลงมาเหมือนแมทช์ที่เจอกับ สเปอร์ส เพียงแต่ออกช้ากว่าเดิม 5 นาที เพื่อให้มาช่วยในการ “เอาบอลไว้กับตัว”ให้มากยิ่งขึ้น
แต่ฟุตบอลไม่เหมือนกันทุกนัด ลัลลาน่า กลายเป็นจุดบอดต่อเนื่องในเกมนี้
ช่วง ลิเวอร์พูล กำลังปรับทัพ แมนยูฯ มีโอกาสทันทีเมื่อทั้งอองโตนี่ย์ มาร์กซิยาล กับ เฟร็ด ได้ยิงไกล เป็นอีกหนที่โกเมซยังมีความผิดพลาดในการตัดสินใจว่า จะเดินหน้าหรือจะถอยหลัง
เอาเข้าจริง มาร์กซิยาล ต้องทำได้ดีกว่านี้ ถ้าเขาไม่ยิงอัดแรงโดยใช่เหตุ
นาทีที่ 74 แมนยูฯ ปรับแผนเลือกมาเล่น 4-2-3-1 เพื่อสู้ทันที ในการส่ง ฆวน มาต้า กับ มาร์ลอน กรีนวู้ด ลงมา ทำให้เกมเปิด
คล็อปป์ แก้ลำเล่น 4-2-3-1 เช่นกัน โดยให้ ฟาบินโญ่กับ เฮนเดอร์สัน เล่นร่วมกัน แล้วขยับ จอร์จินโญ่ ไวจ์นัลดุม กับลัลลาน่า ขึ้นบนกับ ดิว็อค โอริกี้ และทิ้ง ซาลาห์ ยืนหน้าเป้า กระทั่งมาได้ประตูชัยจากแอสซิสต์ของ อลิสซอน เบ๊คเกอร์ และการปิดบัญชีของ ซาลาห์
ในนาทีที่ 92.59
ซาลาห์ ปลดล็อก ทำประตูแรกได้ในการพบกันแมนฯยูไนเต็ด ทำให้ ลิเวอร์พูล ปิดเกมด้วยสกอร์ 2-0
สถิติลงเตะ 22 ชนะ 21 เสมอ 1 นำห่าง แมนฯซิตี้ รองฝูงไปถึง 16 คะแนน และมีเกมในมืออีก 1 นัด
เหลือเชื่อ...เหลือเชื่อกับคะแนนที่ได้ และแต้มที่นำห่างจริงๆ
สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนก็คือ ทีมสปิริตที่ช่วยกันเล่นได้อย่างน่าสนใจ, ระบบและแผนการสต๊าฟ, สภาพร่างกายของนักบอลที่แกร่ง
เป็นเหล็กและหัวใจในการเล่น
สำคัญก็คือ แมนฯยูไนเต็ด ควรได้รับการยกย่อง กับการเล่นที่ไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน มีจังหวะในเกม เพียงแต่รายละเอียด และความเฉียบคมเท่านั้นที่เป็นรอง
แต่ก็ร่วมกันรังสรรค์เกมฟุตบอลดีๆ อีกหนึ่งเกม ที่สู้กันได้สนุกและสูสีสุดๆ จนถึงวินาทีสุดท้าย
เป็นแดงเดือดที่สนุกในรอบหลายซีซั่น แม้ผลลัพธ์มันอาจจะมาสนุกข้างเดียวกับฝั่งลิเวอร์พูลก็ตาม
ยกย่องสปิริตนักเตะยูไนเต็ดที่ลงเล่นท่ามกลางกระแสกดดันไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน และต้องสู้กับใน-นอกสนาม แรงเสียดสีและความคาดหวังมหาศาล ต้องยกให้ เฟร็ด ที่ยกระดับขึ้นมาอย่างยอดเยี่ยม รวมถึงแรงกดดันที่เด็กหนุ่มอย่าง แบรนดอน วิลเลี่ยมส์ แบกรับได้ดี
สุดท้ายจังหวะใครจังหวะมันจริงๆ กับฟุตบอลแดงเดือดที่สมราคาแมทช์นี้
ขณะที่ ลิเวอร์พูล ได้เดินหน้าต่อไปกับการยุติการรอคอยแชมป์ลีกรอบ 30 ปี
ถ้าไม่ได้ปีนี้ก็...เนอะ!!!!!!
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี