จากการเปิดสนามเดือนสิงหาคม มาถึงวันนี้เดือนมกราคม ไม่เหลือโปรแกรมแบบเป็นชุดให้ได้เตะกันอีก หลังจากสัปดาห์นี้คือ เอฟเอ คัพ ในเดือนนี้เหลือเพียง 1 เกมเท่านั้น นั่นคือแมทช์ตกค้างระหว่าง “ขุนค้อน” เวสต์แฮม ยูไนเต็ด กับ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล เอฟซี ในวันพุธหน้า
‘หงส์’แรงไม่ตก-‘เรือ,จิ้งจอก’ยางแตกตามห่าง
หลังจากซีซั่นที่แล้ว โกยมาถึง97 คะแนน แต่ได้แค่รองแชมป์ ไม่น่าเชื่อว่าซีซั่นนี้ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล เอฟซีเดินหน้าได้อย่างน่าทึ่งกับฟอร์มการเล่นที่เดินหน้าคว้าชัย และพังสถิติต่างๆ ราบเป็นหน้ากลอง
มาถึงวันนี้ ลิเวอร์พูล ลงเตะ 23 เกมยังไม่แพ้ใคร ชนะได้ถึง 22 นัด นำโด่งเป็นจ่าฝูงด้วยการมีแต้มเหนือกว่า “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แชมป์เก่าไปแล้วถึง 16 คะแนน แถมยังมีเกมตกค้างให้ได้ลุ้นอีก 1 นัด
ทีมของ คล็อปป์ ทำสถิติต่อเนื่องเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยสะกดคำว่าแพ้ไม่เป็นในลีกมานานถึง 40 เกม ด้วยการชนะ35 เสมอ 5 เป็นทีมที่ 4 ในประวัติศาสตร์ในลีกสูงสุด ต่อจาก อาร์เซนอล 49 นัดปี 2003-04, น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์42 นัด ปี 1977-78 และเชลซี 40 นัดปี 2004-05 พร้อมกับเป็นทีมที่ออกสตาร์ทดีที่สุดในประวัติศาสตร์บอลลีกหลักทั้ง5 ของยุโรป
หลังจากออกสตาร์ทชนะเป็นทีมแรกของซีซั่นที่เตะก่อนใครในวันศุกร์ที่ 9 สิงหาคม แต่ตกมาอยู่อันดับ 3 เพราะประตูได้เสีย จากนั้นตั้งแต่นัดที่ 2 “หงส์แดง” ออกนำและนำมาจนถึงวันนี้
ด้วยผลงานที่ต่อเนื่องบวกกับความผิดพลาดของ แมนฯซิตี้ ที่เสียคะแนนตั้งแต่นัดที่ 2 ด้วยการเสมอกับสเปอร์ส ในถิ่น 2-2 พวกเขาก็มาหลุดแพ้ นอริช แบบพลิกล็อก 2-3 และแพ้ วูล์ฟส์ ในถิ่นตัวเอง 0-2 เท่ากับตอนนั้นเล่นไป 8 นัดแพ้ไปแล้ว 2 ก่อนที่พวกเขาจะหลุดมาถึงอันดับที่ 3 เพราะ “จิ้งจอกสีน้ำเงิน” เลสเตอร์ซิตี้ ที่แรงขึ้นมาอย่างน่าสนใจ
เลสเตอร์ ที่ไม่ได้รับกาารคาดหวังอะไร แต่หลังจากแพ้ ลิเวอร์พูล ที่แอนฟิลด์1-2 ในเกมนัดที่ 8 ของฤดูกาล จากนั้นพวกเขารันรวดเดียวชนะถึง 8 เกมติดต่อกันหนึ่งในนั้นคือการบุกชนะ เซาแธมป์ตัน 9-0 เป็นสถิติใหม่ในเกมเยือนของทีม แต่แล้วมาถึงกลางเดือนธันวาคม เลสเตอร์ ควรจะชนะเพื่อกดดัน ลิเวอร์พูล ที่ไปเล่นบอลชิงแชมป์โลก ปรากฏว่าพวกเขาทำได้แค่เสมอกับ นอริช ในถิ่นตัวเอง
จากนั้นเมื่อต้องดวลตรงๆ กับ แมนฯซิตี้ กับ ลิเวอร์พูล พวกเขาก็แพ้ทั้งสองนัดและโดนยิงยับถึง 7 ลูก ทำให้หลุดจากพื้นที่ลุ้นแชมป์ไปโดยปริยาย
ทุกอย่างดูเหมือนกับเป็นใจให้ ลิเวอร์พูล ทั้งทางตรงคือฟอร์มการเล่นของตัวเอง และทางอ้อมคือคู่แข่งที่พลาดกันเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้โอกาสเป็นแชมป์ลีกหนแรกในรอบ 30 ปี
นาทีนี้เป็นไปได้สูงมาก
หลายคนเริ่มไม่ได้คิดถึงเรื่องการเป็นแชมป์ แต่ฝันไกลไปกันถึงการจะได้แชมป์วันไหน และจะทำสถิติไร้พ่ายหรือไม่
ฝันได้ไม่แปลกอะไร แต่อย่าลืมไปว่าเท้าต้องติดดิน
การขับเคี่ยวท้ายตาราง
การต่อกรที่น่าสนใจในแดนท้ายตารางถือว่าเหตุการณ์พลิกไปพลิกมาอยู่หลายตลบ โดยเฉพาะ “แตนอาละวาด” วัตฟอร์ด
รองแชมป์เอฟเอ คัพ เมื่อซีซั่นก่อน จมบ๊วยอยู่จนถึงนัดที่ 11 ก่อนจะกำชัยหนแรกของซีซั่นได้สำเร็จ ด้วยการบุกชนะ นอริช ซิตี้ ที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็ร่วงลงมาอยู่อันดับสุดท้ายจนกระทั่งค่อยๆ ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 19 ในนัดที่ 19 ของซีซั่น
ไนเจล เพียร์สัน ผู้จัดการทีมคนที่ 3 ในซีซั่นนี้ของวัตฟอร์ด เข้ามาทำทีมได้อย่างน่าสนใจ เมื่อแพ้ให้กับ ลิเวอร์พูล ก่อนจะไม่แพ้ใคร 6 นัดติด แถมยังชนะถึง 4 เกม จนหนีขึ้นไปอยู่เหนือโซนตกชั้นได้ 2 สัปดาห์ แต่ล่าสุดเมื่อพวกเขาแพ้ในเกมกับ วิลล่า ทำให้ร่วงลงมาอยู่ในโซนแดงอีกครั้ง
นอริช ที่กองบ๊วยอยู่ในตอนนี้ มีช่วงเวลาที่น่าประหลาดใจบ่อยครั้ง แต่พวกเขาหล่นมาโซนแดงตั้งแต่นัดที่ 8 ของฤดูกาล จากนั้นไม่เคยปีนกลับไปได้อีกเลย ดาเนี่ยล ฟาเค่ กุนซือเป็นอีกหนึ่งตัวเต็งที่จะตกงาน เพราะวิกฤตินี้ยังไงก็ดูร้ายแรงมากยิ่งขึ้น
ตอนนี้ บอร์นมัธ ที่ยืนอยู่ในพรีเมียร์ลีก มาเป็นซีซั่นที่ 5 ติดต่อกัน ทำท่าว่าปีหน้าอาจจะชื่อหาย ทั้งที่เปิดซีซั่นได้ดี แต่ผ่านมาถึงวันนี้กองอยู่โซนแดง เนื่องจากปัญหาอาการนักเตะเจ็บ แม้จะชนะในเกมล่าสุด แต่ปริศนาตอนนี้ก็คือ ไม่รู้ว่าพวกเขาจะไปได้สักกี่น้ำ
วัดจากตารางคะแนนที่มีความสูสีมากๆ จากอันดับ 15 ลงมานั้น ไบรท์ตันกับ แอสตัน วิลล่า มีอยู่ทีมละ 25 แต้ม ขณะที่ เวสต์แฮม หล่นมาอยู่ที่ 17 มี23 คะแนนเท่ากับ บอร์นมัธ ที่อยู่โซนแดงอันดับ 18 และวัตฟอร์ด ที่อยู่อันดับ 19 ส่วน นอริช มี 17 แต้ม
หากใครพลาดแค่สองเกมติด อาจเห็นหน้าเห็นหลังกันเลยทีเดียว
สุดสูสี!ตารางคะแนนแบ่งโซน
ตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก โซนตกชั้นแบ่งไปชัดเจนว่าต้องบี้กัน 5 ทีม
ขณะที่ลุ้นแชมป์เหลือ ลิเวอร์พูล กับ แมนฯซิตี้ ที่ยังมีโอกาส
ทางด้านพื้นที่แชมเปี้ยนส์ลีกเลสเตอร์ มี 48 คะแนน กับ เชลซี ที่มี 40 ตอนนี้ช่องว่างห่างจากทีมอันดับ 5 อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อยู่ที่ 6 แต้ม
น่าสนใจก็คือ อันดับ 5 ไปจนถึงอันดับ 14 มีถึง 10 ทีมที่ยังอยู่ในพื้นที่ยูโรป้าลีก ชนิดพลาดนิดเดียวมีสิทธิ์จากตอนบนหล่นมาโซนล่างทันที
แมนยูฯ อยู่ที่ 5 ก็จริงมี 34 แต้ม แต่ทีมอันดับ 14 อย่าง นิวคาสเซิ่ล มีอยู่ 30 คะแนน ห่างกันเพียง 4 แต้มเท่านั้น
เมื่อเป็นแบบนี้โอกาสยังคงเปิดกว้างกับการลุ้นไปท่องทวีปซีซั่นหน้า เพราะทีมที่วนอยู่ตรงนี้มีทั้ง สเปอร์ส, วูล์ฟส์,เชฟฯยูไนเต็ด, เซาแธมป์ตัน, อาร์เซนอล,พาเลซ, เอฟเวอร์ตัน และเบิร์นลี่ย์
ตัวเลขน่าสนใจคือ ทีมอันดับ 9 อย่าง เซาแธมป์ตัน ที่ทำท่าว่าจะละเอียดไปแล้ว หลังจากแพ้ เลสเตอร์ 0-9 กระแสการต้องปลดโค้ช ราล์ฟ ฮาเซนฮึทเทิ่ล
แรงมาก สุดท้ายบอร์ดวัดใจให้ทำงานต่อ ตอนนี้จากทีมที่อยู่ในโซนตกชั้น ใช้เวลา7 เกมหลังสุดชนะ 5 เสมอ 1 แพ้หนเดียวขึ้นมาอยู่กลางตารางได้อย่างน่าปรบมือ
ผู้จัดการทีมเก้าอี้พัง
มีการเปลี่ยนแปลงในตำแหน่งผู้จัดการทีมกันอย่างต่อเนื่อง ที่กลายเป็นเรื่องปกติ
แต่บางทีมก็ทำให้มันไม่ปกติได้เหมือนกัน
เริ่มจาก ไบรท์ตัน สั่งปลด คริส ฮิวจ์ตันหลังจากทีมรอดตายแล้วให้ เกรแฮมพ็อตเตอร์ เข้ามารับงานก่อนเปิดซีซั่นกว่า 3 เดือน เช่นเดียวกับ เชลซี ที่เปลี่ยนโค้ชอีกครั้งด้วยการเลือก แฟรงค์ แลมพาร์ดรับงานแทน เมาริซิโอ ซาร์รี่ ที่มาอยู่ได้แค่ซีซั่นเดียว
เซอร์ไพรส์ก็คือ นิวคาสเซิ่ล ไม่ยอมต่อสัญญากับ ราฟา เบนิเตซ แล้วไปเลือกปลาร้าปลาเจ่าอย่าง สตีฟ บรู๊ซ เข้ามาทำงาน ท่ามกลางการประท้วงของแฟนบอลทูน อาร์มี่
วัตฟอร์ด กลายเป็นทีมแรกที่ปลดกุนซือเมื่อไล่ ฆาบี้ กราเซีย ออกจากทีมไปเป็นคนแรกของซีซั่นเมื่อ 7 กันยายน 2019 แล้วเลือก กีเก้ ซานเชซ ฟลอเรซ เข้ามาทำงานอีกครั้ง เป็นเหล้าเก่าในขวดใหม่
ซานเชซ ทำงานได้ไม่ถึง 3 เดือนก็โดนไล่ออกไปอีกที แล้วก็เป็น ไนเจล เพียร์สัน มาทำงานแทนที่วิคาเรจ โรด
น้อยครั้งที่จะมีการเปลี่ยนกุนซือถึง 3 คนในซีซั่นเดียว แต่ วัตฟอร์ด ทำให้ทุกคนได้เห็นแล้ว
ฝั่งของ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ที่ได้รองแชมป์ยุโรป แต่ทีมกลับแตกสลาย เมื่อ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ถึงทางตัน โดนปลดจากทีมไปในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2019 แล้วไปดึง โชเซ่ มูรินโญ่ ที่ตกงานอยู่เกือบปีเข้ามารับงาน
เป็นหนแรกที่ สเปอร์ส ปลดโค้ชแล้ว อาร์เซนอล คู่ปรับร่วมนอร์ธ ลอนดอน ปลดบ้างเมื่อ อูไน อเมรี่ ก็ทำทีมไม่ถึงไหน โดนไล่ออกหลังจากโปเช็ตติโน่ ถูกเด้งเพียง 10 วันเท่านั้น ถือเป็นครั้งแรกที่สองคู่ปรับนี้ปลดโค้ชในคราเดียวกัน แล้วบอร์ดเลือกเด็กเก่าอย่างมิเกล อาร์เตต้า มารับงานกุนซือเป็นครั้งแรกในชีวิต
อาร์เตต้า เข้าไปดูงานตัวเองที่กูดิสันพาร์ค เมื่อทีมบุกไปเยือน เอฟเวอร์ตัน ซึ่งเป็นวันเดียวกันกับที่ “ทอฟฟี่เมน” แต่งตั้งคาร์โล อันเชล็อตติ มือปืนอิตาเลียน เข้ามาทำงาน ซึ่งวันนั้น “คาร์เล็ตโต้” ก็ดูงานบนอัฒจันทร์เช่นกัน หลังจาก เอฟเวอร์ตันทนกับการทำงานของ มาร์โก้ ซิลวาไม่ไหว
คนล่าสุดที่ตกงานไปคือ “ดิ เอ็นจีเนียร์” มานูเอล เปเยกรินี่ พ่อมดขาวชาวชิลี ที่เข็น เวสต์แฮม ไม่ขึ้น เขาถูกปลดหลังบ็อกซิ่ง เดย์ ได้สองวัน แล้วก็ตั้ง เดวิด มอยส์ กลับมารับงานอีกครา
‘วาร์ดี้’คืนชีพ-‘เดอบรอยน์’จอมจ่าย
เจมี่ วาร์ดี้ หัวหอกฮอตแอนท์ของ เลสเตอร์ ซิตี้ กลับมาฟอร์มดีอีกครั้ง เมื่อทะยานไปรั้งดาราซัลโวของพรีเมียร์ลีก ด้วยสถิติ 17 ประตู
สไตล์การเล่นในช่วงแรกของเบรนแดน ร็อดเจอร์ส คือ 4-1-4-1 กำลังลงตัว แต่ในตอนหลัง ร็อดเจอร์ส เปลี่ยนเป็น 4-4-2 บ้าง 4-1-3-2 บ้าง บวกกับ วาร์ดี้ มีปัญหาบาดเจ็บ และถูกสั่งให้พัก ทำให้ดูเบาบางลงไป
ขณะที่ เซร์คิโอ อเกวโร่ ยังคงซัดได้อย่างต่อเนื่องให้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ โดยเป็นที่พึ่งให้กับทีได้เสมอ และเขาซัดไปแล้ว 16 ลูก ท้าทายตำแหน่งรองเท้าทองคำกับ วาร์ดี้ ไปตลอดเส้นทาง
ส่วนอันดับ 3 ตอนนี้มี 3 คนยิงกันไปคนละ 14 ประตูนั่นคือ ปิแอร์เอเมอริค-โอบาเมยัง ของอาร์เซนอล,แดนนี่ อิงส์ ของเซาแธมป์ตัน และมาร์คัส แรชฟอร์ด ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คนละ 14 ลูก
ในส่วนของจอมแอสซิสต์ตอนนี้คงไม่มีใครเกิน เควิน เดอ บรอยน์ ของแมนเชสเตอร์ซิตี้ และ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์แบ๊กจอมบุกของลิเวอร์พูล
เดอ บรอยน์ แอสซิสต์ไปแล้ว 15 ครั้ง ทำแบบนี้มา 3 ปีซ้อนๆ เขาเป็นหัวใจในแนวรุกของแชมป์เก่าเหมือนอย่างที่เคย เช่นเดียวกับ เทรนท์ ที่เป็นอาวุธสำคัญในเกมรุกของลิเวอร์พูล นับเป็นปีที่ 2 ติดต่อกันที่แอสซิสต์ไปแล้วสองหลัก โดยปีนี้ทำไปแล้ว 10 แอสซิสต์
อันดับ 3 มากันเพียบถึง 5 คน คนละ 7 แอสซิสต์ นั่นคือ เอมิลิอาโน่ บวนเดีย ของนอริช ซิตี้, ซน ฮึง มิน ของสเปอร์ส, สองแข้งเรือใบ ริยาด มาห์เรซ กับ ดาบิด ซิลบา และอีกรายคือ อดามา ตราโอเร่ ปีกล่ำสันของวูล์ฟส์
สถิติ...สถิติ...สถิติ
ปีนี้มีแฮททริกไปแล้ว 8 ครั้ง เริ่มจาก ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ของแมนฯซิตี้ ยิงใส่ เวสต์แฮม ตั้งแต่นัดเปิดฤดูกาล
จากนั้นก็ไล่เรียงกันมาคือ ติมู ปุกกี้ของนอริช ยิง นิวคาสเซิ่ล, แทมมี่ อบราฮัมของเชลซี ยิง วูล์ฟส์, แบร์นาโด ซิลวา ของแมนฯซิตี้ กระทุ้ง วัตฟอร์ด
โหดสุดๆ ก็คือ “ดับเบิ้ลแฮททริก”ของ อโยเซ่ เปเรซ กับ เจมี่ วาร์ดี้ ของเลสเตอร์ ในเกมยำ เซาแธมป์ตัน 9 เม็ด
ต่อด้วย คริสเตียน พูลิซิซ ของเชลซี ที่ยิง เบิร์นลี่ย์ และคนล่าสุดคือ เซร์คิโอ อเกวโร่ ของแมนฯซิตี้ ในเกมบุกยำ วิลล่า เมื่อ 12 มกราคมที่ผ่านมา
เมื่อมีคนยิงก็ต้องมีคนเซฟ ตอนนี้มียอดนายประตูที่คลีนชีตมากที่สุดอยู่ 3 คนคือ เบน ฟอสเตอร์ ของวัตฟอร์ด, ดีน เฮนเดอร์สัน ของเชฟฯยูไนเต็ด และนิค โป๊ป ของเบิร์นลี่ย์ คนละ 8 เกม
นักเตะแข้งโหดประจำปีก็คือ เจฟเฟอร์สัน เลอร์มา ของบอร์นมัธ รับใบเหลืองไปแล้วคนเดียว 9 ใบ ขณะที่ คริสเตียน กาบาเซเล่ ของวัตฟอร์ด โดนใบแดงมากที่สุด 2 ใบ
“ปืนใหญ่” อาร์เซนอล ครองความโหดเมื่อโดนใบเหลืองมากที่สุดรวม 57 ใบ พร้อมกับเป็นทีมที่โดนใบแดงมากที่สุด3 ใบเท่ากับ สเปอร์ส และวัตฟอร์ด
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี