กระแสแรงกดดันต่างๆ ที่ตีโครมโหมกระหน่ำเข้าใส่บอร์ดบริหารของสโมสรลิเวอร์พูล ฟุตบอล คลับ
ในที่สุดจำเป็นจะต้อง “ยอมจำนน”!!!
“หงส์แดง” ภายใต้การบริหารของกลุ่มทุนจากสหรัฐอเมริกา หรือ Fenway Sports Group, LLC (FSG) ยืดอกที่จะ “ใส่เกียร์ถอย” ดีกว่าที่จะ “ดับเครื่องชน”กับกรณีค่าใช้จ่ายกับพนักงานที่ “คิดคนละอย่าง” กับคนทั่วไป โดยเฉพาะมนุษย์สายพันธุ์แห่งสเก๊าเซอร์
กับการเลือกเส้นทางที่ “ผู้บริหาร” มองว่า“ถูกต้อง” เมื่อจะขอใช้เงินจากภาครัฐ 80 เปอร์เซ็นต์ จ่ายให้กับพนักงาน 20 เปอร์เซ็นต์ จากกรณี furlough หรือเฟอร์โลห์ ในวิกฤติโควิด-19 โดยทั้งหมดจะอยู่ในกรอบคนละไม่เกิน 2,500 ปอนด์ หรือประมาณ 100,000 บาท
แถลงการณ์เมื่อคืนวันเสาร์จากสโมสรระบุใจความว่า “เจ้าหน้าที่จะได้รับเงินเดือนของพวกเขาเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ เพื่อรับประกันว่า จะไม่มีเจ้าหน้าที่คนใดของสโมสร ต้องเจอผลกระทบที่เสียหายทางด้านการเงิน
แต่อย่างใด”
เรื่องนี้ถือว่า ตรงข้ามกับ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด, ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์, บอร์นมัธ และ นอริช ซิตี้ ที่งัด
มาตรการพักงานชั่วคราว ก่อนหน้านี้ และลดเงินเดือนพนักงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับการแข่งขัน แต่............
...แต่ในแถลงการณ์ดังกล่าวนี้ ในข้อเท็จจริงแล้ว มันมี “เงื่อนไข” และ “นัย” สำคัญมากๆ !!!!!
นั่นคือเปอร์เซ็นต์ในการจ่ายเงินนั่นเอง
ในความรู้สึกของหลายคนจึงประหลาดใจ และถูก “สื่อมวลชนของอังกฤษ” ตั้งคำถามว่า การกระทำลักษณะนี้ มันไม่ควรเกิดขึ้นกับทีมที่มีกำไรมหาศาลกว่า 40 ล้านปอนด์แบบนี้
ที่จริงแล้วไม่ใช่เรื่องผิดในเชิงของการบริหารจัดการแต่อย่างใด
ในเมื่อรัฐบาลเต็มใจที่จะจ่าย, มีมาตรการการเยียวยาที่ชัดเจน รวมไปถึงพนักงานก็สามารถรับเงินได้เหมือนเดิม แม้จะถูกพักงาน
แต่ถ้ามองอีกหนึ่งมุม ถือว่า บอร์ดบริหารกำลังเพลี่ยงพล้ำกับคำว่า “ศรัทธา” และ “หัวใจ”
มันอาจจะ “ถูกใจ” และ “ตรงใจ” กับธุรกิจโมเดลแต่มัน “ไม่ถูกต้อง” สำหรับสถานการณ์ และแฟนบอล???
มันเป็นเรื่องของ “สปิริต” มันเป็นเรื่องของ “คลาส” มันเป็นเรื่องของ “สามัญสำนึก” มากกว่ามองเป็นเรื่องของ “ชั้นเชิงธุรกิจ”
คำที่สโมสรใช้คือ This means more! ถูกขยี้และล้อเลียนให้เป็น This means more…Money!!!!
หนึ่งในสต๊าฟของสโมสร เสียความรู้สึกกับเหตุการณ์นี้ ถึงกับบอกว่า สโมสรพูดอยู่เสมอว่า “ที่นี่คือครอบครัว” แต่การกระทำแบบนี้มันไม่ใช่ครอบครัวเลย......“Not feeling like a family member”
เจมี่ คาร์ราเกอร์ สเก๊าเซอร์พันธุ์แท้นักเตะที่ลงเล่นให้ทีมมากสุดเป็นอันดับ 2 ตลอดกาล เสียใจสุดๆ กับเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะมันทำให้ศรัทธา และค่านิยมมันหายไปโดยมิควร…. “Respect and goodwill lost”
.....สื่อประจำบ้านอย่าง Liverpool Echo ยืนยันว่าสโมสรไม่ได้ผิด แต่จะต้องน้อมรับคำวิจารณ์จากทุกฝ่ายกับแนวทางครั้งนี้
......หรือว่าจะเป็นอีกครั้งที่บอร์ดบริหารกำลังลืมสโลแกนของตัวเองที่รังสรรค์โดยยอดปรมาจารย์ลูกหนัง
“บิลล์ แชงคลี่ย์”
You’ll never walk alone!!!!!!!
ถึงกับมีการขุดคุ้ยเรื่องราวต่างๆ มากมายกับรายได้มหาศาลของ FSG กับการทำธุรกิจว่า แท้ที่จริงแล้วคุณหวังอะไรกันแน่ เพราะช่วงหลังสโมสรเอง ก็ขึ้นโรงขึ้นศาลแบบ “ไม่ควรขึ้น” มาแล้ว นั่นก็คือเรื่องของผู้ผลิตเสื้อ
......กระทั่งเช้ามืดวันอังคารที่มา แถลงการณ์จาก ปีเตอร์ มัวร์ส ซีอีโอสายเลือดสเก๊าเซอร์ของสโมสรได้ออกมาขอโทษแฟนบอล ขอโทษทุกฝ่าย และขอตัดสินใจใหม่กับการเลือกที่จะ “ไม่พักงาน” ลูกจ้างทั้งหมดในช่วงล็อกดาวน์
“สโมสรยืนยันว่า พนักงานทุกคนจะได้รับค่าตอบแทนเต็มจำนวนเหมือนเดิม โดยสโมสรจะหาทางรับผิดชอบเอง”
เป็นการ “กลับลำ” ครั้งสำคัญอีกครั้งของบอร์ดบริหาร และนี่ไม่ใช่ครั้งแรก!!!!
…………ตำนานการยอมรับฟังของ FSG นี่ถือเป็นครั้งที่ 3 แล้ว ที่สโมสรพลาดท่าจั่วลมวืดวาดอย่างรุนแรง เล่นต่อความรู้สึกไม่เพียงแต่แฟนบอล
แต่เล่นไปถึงความรู้สึกของคนทั้งเมือง!!!
สุดท้ายก็ยอมรับฟังแฟนฟุตบอลทุกครั้งไป เริ่มจากครั้งแรกก่อน
.....เรื่องแรก เป็นปัญหาที่คาราซังกันมาโดยตลอด นั่นก็คือ “การขึ้นค่าตั๋วฟุตบอล” ที่ปรับขยับขึ้นมาเรื่อยๆ และมีแนวโน้มว่า ขึ้นแน่นอน แต่สุดท้ายก็ยังไม่ขึ้น
เรื่องมันเกิดขึ้นตั้งแต่ 4 ปีก่อน ในเกมกับ ซันเดอร์แลนด์เมื่อ 6 กุมภาพันธ์ 2016 แฟนบอลออกจากสนามในนาทีที่ 77 ซึ่งตอนนั้น หงส์ขึ้นนำหน้าอยู่ 2-0
ไม่ใช่ว่ากลัวรถติด หรือว่าชนะแน่นอน แต่ที่ออกจากสนามเพราะประท้วงที่ บอร์ดบริหาร จะขึ้นค่าตั๋วเป็น 77 ปอนด์นั่นเอง!!!
ข่าวตอนนั้นก็คือ สโมสรมีมติขึ้นราคาตั๋วระดับสูงสุดจากเดิม 59 ปอนด์ เป็น 77 ปอนด์ ทำให้แฟนบอลเลือกนาทีที่ 77 ในการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์
ราคาตั๋วในตอนนั้น ลิเวอร์พูล ถือว่าแพงสุด เป็นอันดับที่ 3 ของลีก เป็นรองก็แค่ แมนฯยูไนเต็ดกับ แมนฯซิตี้ เท่านั้น โดยตั๋วต่ำสุดในแอนฟิลด์คือ37 ปอนด์
สุดท้าย บอร์ดบริหารก็ต้องโร่ออกมาขอโทษและตัดสินใจ “ไม่ขึ้นราคา” ค่าตั๋วฟุตบอล
......เรื่องสอง การครอบครองสิทธิ์ ตราสัญลักษณ์“ไลเวอร์ เบิร์ด” และคำว่า “ลิเวอร์พูล”
อันที่จริงเรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นยุคของ FSG แต่เริ่มตั้งแต่ 12 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นยุคของ ทอม ฮิกส์ กับ จอร์จ ยิลเล็ตต์ ที่ไปจดทะเบียนที่กรมทรัพย์สินทางปัญญาของอังกฤษ ครอบครองสิทธิ์การใช้ นกประจำเมือง หรือไลเวอร์ เบิร์ด เป็นของสโมสรในราคาแค่ 29,000 บาท
ทำเอาสภาเมืองโกรธาถึงขีดสุด เพราะ ไลเวอร์ เบิร์ด ไม่เพียงแต่ปรากฏอยู่บนเอกสารของสภาเมืองอย่างเดียวเท่านั้น แต่ธุรกิจห้างร้านในท้องถิ่น รวมไปถึงโรงเรียนต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ก็นำไปใช้ ไม่มีใครคิดที่จะ “แฮฟ” มันมาเป็นเจ้าของเพื่อครอบครองแต่เพียงผู้เดียว
อย่างไรก็ตาม หลังจากเคลียร์กัน 2 ปี ก็ยุติกันได้ด้วยดี กระทั่งมาในยุคของ FSG ก็มีเรื่องของคำว่า“ลิเวอร์พูล” ในการจะจดลิขสิทธิ์
เหตุการณ์เมื่อปี 2018 Liverpool Echo สื่อประจำเมืองเป็นผู้เปิดเผยแนวทางนั่นคือ “เขี่ยบอล”ในเชิงดูแลสโมสรพอสมควร ว่า คำว่า Liverpool จากนี้คือคำของสโมสรลิเวอร์พูล แล้ว
ภาพตัดมาเป็น กระแสตีกลับสโมสรโดนถล่มแหลกว่าไม่ควรนำชื่อเมืองไปทำมาหารับประทานด้วยวิธีแบบนี้แล้วธุรกิจต่างๆ คนที่อยู่ในเมืองนี้ มันไม่ได้หมายว่า“ลิเวอร์พูล” จะเป็นเพียงแค่ “สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล”เพียงอย่างเดียว
หนนั่นก็อ่วมอรทัยไปพอสมควร เพราะ ปีเตอร์มัวร์ส ซีอีโอสเก๊าเซอร์ ก็เดินสายไปพยายามทำความเข้าใจกับร้านรวงต่างๆ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายว่า เรื่องนี้จะจบ
ยังคาราคาซังจนถึงทุกวันนี้
…….ว่ากันตามเชิง ครั้งที่ 3 หรือครั้งนี้ถือว่า “หนักสุด” เพราะมันอยู่ในโฟกัสของวิกฤติโควิด-19 พอดิบพอดี
ยังดีที่สโมสรยังกลับตัวทัน และต้องเรียนรู้ที่จะเข้าใจในการเป็นเจ้าของสโมสรแห่งนี้ต่อไป
พร้อมกับต้องเรียนรู้ “วิธี” และ “วิถี” ของแฟนฟุตบอลอีกหลายลำดับขั้น
สิ่งที่ดีที่สุด นั่นก็คือ FSG ยอมรับคำทักท้วง และคำวิจารณ์ของทุกๆ ฝ่าย โดยเฉพาะแฟนบอล ถือว่าดีมาก จะได้หูตาสว่างกันมากขึ้น และถ้าคุณ “ถลำลึก”ลงไปในฟุตบอลมากเท่าไหร่ คุณจะเข้าใจทุกฝ่าย โดยเฉพาะ“แฟนบอล” มากเท่านั้น
Football without fan is nothing
ที่สำคัญขอกราบขอบพระคุณ FSG ที่คุณไม่ทำให้วิญญาณของ บิลล์ แชงคลี่ย์ ต้องผิดหวัง
เพราะท่านจะไม่ทำอย่างที่ FSG คิดทำแน่นอน!!!!! เพราะบ้านนี้เมืองนี้ แชงคลี่ย์ รู้ดีว่า ที่นี่คือ “สังคมนิยม” และก็อย่าลืมว่าบ้านนี้เมืองนี้คือ “ชุมชนชั้นแรงงาน”
แม้ “สำเนียง” สเก๊าเซอร์ อาจจะฟังไม่ชัด ฟังไม่ถนัดหู แต่ “เสียง” ของคนที่นี่ดัง และชัดถ้อยชัดคำ
ท้ายสุด...สุดท้าย บทสรุปออกมาได้อย่างน่าสนใจ ขอสัก “3 ข้อ” โดยไม่ต้องขอ “3 คำ”
1.แบบฉบับการเป็นผู้นำที่ดีของ FSG รู้จักฟังคำ “ทักท้วง” และรู้จักที่จะ “ทบทวน”
2.คุณคือฟุตบอล “เฟสไหน” และที่สำคัญกว่าก็คือ Football without Fans is nothing
3.นอกจากผู้บริหารแล้ว...พนักงานคือบุคคลสำคัญขององค์กร
เอวังก็ด้วยประการฉะนี้แล..........................
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี