จากการที่ เซอร์เคนนี่ ดัลกลิช หรือ“คิง เคนนี่” ตำนานนักเตะ และผู้จัดการทีม “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล เอฟซี ทีมดังแห่งวงการฟุตบอลอังกฤษ ถูกตรวจพบว่าติดเชื้อโคโรนาไวรัส หรือ โควิด-19 แม้จะไม่มีการแสดงอาการออกมา จนต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล ตามรายงานจากประเทศอังกฤษ เมื่อเช้ามืดวันเสาร์ที่ผ่านมานั้น

โลกลูกหนังต่างให้กำลังใจ “ท่านเซอร์แห่งแอนฟิลด์” กันอย่างล้นหลาม ทั้งสโมสรฟุตบอลต่างๆ รวมไปถึงแฟนฟุตบอลทั่วโลก ให้หายจากอาการป่วยในครั้งนี้ ซึ่งตอนนี้ยอดติดทั่วโลกทะลุไปเกือบๆ 1.7 ล้านคน และเสียชีวิตไปแล้วถึง 102,734 คนด้วยกัน ดัลกลิช ปัจจุบันวัย 69 ปีเป็นทั้งผู้เล่น และผู้จัดการทีม รวมถึงเคยเป็นทั้ง “ผู้เล่น-ผู้จัดการทีม” คนแรกในประวัติศาสตร์ของ ลิเวอร์พูล ฟุตบอล คลับ โดยสมัยเป็นนักเตะตั้งแต่มาแทน เควินคีแกน เมื่อปี 1977 ครองเจ้ายุโรป 3 สมัย, แชมป์ลีกดิวิชั่น 1 ยุคคลาสสิก 5 สมัย, ลีกคัพ 4 สมัย และซูเปอร์คัพ 1 สมัย จากนั้นเป็นผู้เล่น-ผู้จัดการทีมคนแรกที่ได้ดับเบิ้ลแชมป์ทั้ง ดิวิชั่น 1 ยุคคลาสสิคและเอฟเอ คัพ เมื่อปี 1986 ซึ่งเป็นปีแรกที่ได้ทำงาน เป็นกุนซือตั้งแต่ซีซั่น 1985-86จนถึงซีซั่น 1990-91 คว้าแชมป์ลีกสูงสุด 3 สมัย และเอฟเอ คัพ 2 สมัยกระทั่งวันที่ 8 มกราคม 2011 ดัลกลิช ได้กลับมาคุมทัพที่แอนฟิลด์อีกครั้ง และ1 ปีต่อมา ดัลกลิช พาทีมเป็นแชมป์ลีกคัพ และได้รองแชมป์เอฟเอ คัพ แต่ไม่พอเพียงที่จะอยู่ต่อในตำแหน่งนายใหญ่แห่งแอนฟิลด์ลงเล่นให้ทีม 515 นัด ยิงได้ 172 ประตู และคุมทีม 381 นัด ชนะ 223 เสมอ 94แพ้ 64 ยิงได้ 732 เสีย 332 คิดเป็นเปอร์เซ็นต์เฉลี่ยชนะ 58.53 โดยเมื่อเดือนตุลาคม 2017 สโมสรได้เปลี่ยนชื่ออัฒจันทร์ฝั่ง “เซ็นเทนนารี่ สแตนด์” มาเป็น “เคนนี่ดัลกลิช สแตนด์” เพื่อเป็นเกียรติให้กับดัลกลิช สำหรับ ดัลกลิช นับเป็นบุคคลคนแรกจากสโมสรลิเวอร์พูล ที่ได้รับเกียรติยศอันยิ่งใหญ่ในชีวิต ในการเข้ารับการประดับยศให้เป็น “เซอร์” หรือ “อัศวิน” จากเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ เมื่อวันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน 2018ในฐานะที่สร้างชื่อเสียงทั้งในฐานะนักเตะ, ผู้จัดการทีม, อุทิศตนให้กับการกุศล และที่สำคัญก็คือ การร่วมต่อสู้กับครอบครัวผู้สูญเสียในเหตุการณ์ฮิลล์สโบโร่