ปีเตอร์ โบเน็ตติ เสียชีวิตลงหลังจากป่วยมาเป็นเวลานาน
สถานีต่อไป...ฟูแล่ม บรอดเวย์...Fulham Broadway tube station
นั่งรถไฟอังกฤษ หรือทูบ ในเส้นทางสายสีเขียว (The District line) ถึงสถานีย่านวอลแฮม กรีน เดินออกมาผ่านช็อปปิ้ง เซ็นเตอร์ ที่ระดับพองาม แล้วเลี้ยวซ้ายควบเท้าผ่านบาทวิถีเต็มที่แค่ร้อยกว่าเมตรแล้วมองไปทางซ้าย
“สแตมฟอร์ด บริดจ์” สนามเหย้าของ เชลซี รออยู่ตรงนั้น
...บันทึกในช่วงเวลามหาสงกรานต์ 2563 หรือSongkran Festival 2020 ที่ไม่มี “สงกรานต์” เกิดขึ้นแต่มีเรื่องราวที่น่าสนใจอุบัติขึ้นที่ดินแดนของทีมดังสีน้ำเงินแห่งมหานครลอนดอนแห่งนี้
ที่เกิดทั้งเรื่องของคราบน้ำตา...ทั้งเสียใจและดีใจ
...หากคุณเดินเข้าสู่กำแพงรั้วของเดอะ บริดจ์ ตรงกับฝั่งของ เวสต์ สแตนด์ จะมีรูปปั้นตระหง่านอยู่ตรงนั้น คือปีเตอร์ ออสกู๊ด สุดยอดยอดตำนานกองหน้าของทีม เมื่อหันไปทางขวาจะมีภาพของตำนานทีมเรียงรายอยู่ให้เห็น
หนึ่งในนั้นมีอีกหนึ่ง “ปีเตอร์”
นั่นคือ นายประตู ปีเตอร์ โบเน็ตติ
โบเน็ตติ ในการลงเล่นฟุตบอลโลก 1970
ภาพของโกล์รูปหล่อ ไม่สวมถึงมือ ไว้ทรงผมยุค 70 สไตล์จอนตึกสุดคลาสสิกตั้งอยู่ใกล้กับ Millennium & Copthorne Hotels โรงแรมประจำสโมสร
อดีตผู้รักษาประตูผู้จงรักภักดีของสโมสร และทีมชาติอังกฤษ เจ้าของฉายา “The Cat” ชุดเวิลด์คัพ 1966 และ1970 เสียชีวิตลงแล้วด้วยวัย 78 ปี หลังจากป่วยเป็นเวลานาน
ตอนที่ได้แชมป์โลก โบเน็ตติ เป็นมือ 2 รองจากกอร์ดอน แบงค์ส ตอนนั้นเขาอายุ 24 ปี...
โบเน็ตติ ติดทีมชาติอังกฤษ ค่อนข้างน้อย นั่นคือ7 เกม เนื่องจากมี กอร์ดอน แบงค์ส ขวางหน้าอยู่
ในบอลโลก 1970 รอบ 8 ทีม โบเน็ตติ ได้ลงสนาม เพราะ แบงค์ส ท้องเสีย ซึ่งอังกฤษ นำ 2-0 แต่ เซอร์อัล์ฟ แรมเซย์ เลือกเปลี่ยน บ็อบบี้ ชาร์ลตัน ออก ทำให้เกมเป็นรองก่อนแพ้เยอรมันตะวันตก 2-3 ในช่วงต่อเวลา
โบเน็ตติ ซึ่งพลาดพลั้งในเกมนั้น ก็ต้องอนาคตดับวูบไปในทีมชาติ และกลายเป็น “ภาพจำ” ที่แสนเจ็บปวด
แม้ในอีก 2 ปีต่อมา ช่วงประวัติศาสตร์เปลี่ยนเมื่อ แบงค์ส ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ในปี 1972 จนทำให้ตาเสียไปหนึ่งข้าง จนต้องเลิกเล่น เรย์ เคลเมนซ์ โกล์จากลิเวอร์พูล ก้าวขึ้นมารับใช้ชาติ แต่ว่า ปีเตอร์ ชิลตัน ก็มาเบียดจน เคลเมนซ์ ตกขอบไปได้สำเร็จ
เช่นเดียวกับ โบเน็ตติ ก็โดนลืมไปเลย...
จานลูก้า วิอัลลี่ เอาชนะมะเร็งร้ายได้สำเร็จหลังจากสู้มา 17 เดือน
อย่างไรก็ตาม โบเน็ตติ คือตำนานเชลซี และเป็นยอดโกล์ในระดับตำนานของสโมสร พาทีมขึ้นชั้นได้ถึง 2 รอบ และอยู่ในเหตุการณ์สำคัญของทีมมาโดยตลอด
เป็นนักเตะที่โตขึ้นมาจากอะคาเดมี่ อยู่กับทีม 2 รอบลงเล่นให้เชลซี 729 นัด ได้แชมป์บอลถ้วย 3 รายการ โดยนัดชิงต้องเล่นกันถึง 6 เกมด้วยกัน!!!
แชมป์ลีกคัพ 1965 เกมชิงยุคโบราณของรายการนี้ที่ต้องเตะเหย้า-เยือน โดยเกมแรกชนะ เลสเตอร์ ซิตี้ที่เดอะ บริดจ์ 3-2 ก่อนจะไปยันเสมอที่ฟิลเบิร์ต สตรีท 0-0 คว้าแชมป์ด้วยสกอร์รวม 3-2
แชมป์เอฟเอ คัพ 1970 เสมอกับ ลีดส์ อย่างโชกโชน 2-2 ที่เวมบลีย์ ก่อนจะไปต่อเวลาคว้าแชมป์ในนัดรีเพลย์ 2-1
แชมป์คัพ วินเนอร์สคัพ 1971 โดน เรอัล มาดริด ตีเสมอในนาทีสุดท้าย 1-1 ที่กรีซ ต้องดวลกันอีกครั้งในเกมรีเพลย์ ก่อนจะเอาชนะไปได้ 2-1
โบเน็ตติ เป็นนักเตะที่ลงเล่นให้กับเชลซี มากที่สุดเป็นลำดับที่ 2 เป็นรองแค่ รอน แฮร์ริส เพียงคนเดียวเท่านั้นที่เตะไป 795 เกม พร้อมกับเป็นตำนาน “คลีนชีต” ของสโมสร 208 เกม ก่อนจะถูกทำลายลงโดย ปีเตอร์ เช็กเมื่อปี 2014 หรือในอีก 35 ปีต่อมา
ถ้าคุณนึกถึง 2 แข้ง เชลซีในตำนาน
1.ปีเตอร์ ออสกู๊ด ยอดดาวยิง
2.ปีเตอร์ โบเน็ตติ ยอดนายประตู
…มาถึงเรื่องราวของ “เดอะ จาน” จานลูก้า วิอัลลี่ ดาวยิงชาวอิตาเลียน
แฟนบอลรุ่นใหญ่จดจำเขาได้ในกองหน้าผมหยิกแต่ภาพลักษณ์ตอนมาอยู่กับ เชลซี กลายเป็นดาวยิงศีรษะเลี่ยนตามรูปธรรมนามธรรมตามวัย
วิอัลลี่ คือความหวังของชาวรองเท้าบู๊ตทั้งประเทศ ในการเตะฟุตบอลโลก 1990 ที่พวกเขาเป็นเจ้าภาพ เพราะ ก่อนบอลโลก วิอัลลี่ ฟอร์มกำลังร้อนแรง และเล่นคู่กับโรแบร์โต้ มันชินี่ เพิ่งได้แชมป์คัพ วินเนอร์สคัพ มาหมาดๆ กับ “บลูเชอร์คิอาตี้” ซามพ์โดเรีย ซึ่ง วิอัลลี่ ยิงสองประตูให้ทีมครองแชมป์หลังจากทุบ อันเดอร์เลชท์
ปรากฏว่า อเซโย่ วิชินี่ กุนซืออิตาลี เลือกใช้อันเดร การ์เนวาเล่ ดาวดังจาก โรมา ยืนคู่กับ วิอัลลี่เหมือนกับ “ดนตรีคนละวง” แล้วทั้งคู่ก็อับแสง ยิงไม่ได้ กลายเป็นการถือกำเนิดของ “โตโต้” ซัลวาตอเร สคิลลาชี่ กับ โรแบร์โต้ หลายนามสกุลแล้วแต่จะแปลได้
แบคคิโอ, บัจจิโอ้, แบ้คโจ้, บาคคิโอ, บั๊คโจ้ หนักสุดคือ บางสำนักพิมพ์ที่ไม่เติมไม่เอกไม้โท กลายเป็น “บักโจ” ไปเลย
ทั้งหมดก็คือ บาจโจ้ หรือ เทพบุตรเปียทองคำในกาลต่อมา
วิอัลลี่ หลุดตัวจริงในเกมที่ 3 แล้วกลับมาได้ลงเล่นอีกครั้งแบบพลิกล็อกในรอบตัดเชือก กับ อาร์เจนตินาซึ่งแอ๊กชั่นที่แฟนบอลจะต้อง “จำได้” ก็คือ จังหวะที่ วิอัลลี่ สับไกไปติดเซฟของ เซร์จิโอ กอยโคเชีย ก่อนบอลจะมาเข้าทาง โตโต้ สคิลลาชี่ ซ้ำเข้าไป
นั่นคือภาพจำเดียวเลยก็ได้ของ วิอัลลี่ ในบอลโลก!!!
กระทั่งยุคแห่งการหลั่งไหลของสตาร์ต่างชาติเข้าสู่พรีเมียร์ลีก วิอัลลี่ คือหนึ่งในนั้นเมื่อเข้ามาอยู่ในรั้วของเดอะ บริดจ์ เมื่อปี 1996 หลังจากเขาหมดสัญญา ยูเวนตุส
เชลซี ถูกจับตามองอย่างมากเมื่อ รุด กุลลิท กุนซืองูเก็งก็อง คว้าตัวทั้ง วิอัลลี่, จานฟรังโก้ โซล่า และโรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ จากอิตาลี
วิอัลลี่ ในการเล่นฟุตบอลโลก 1990
เมื่อ กุลลิท ถูกปลดออกเมื่อ 12 เดือนกุมภาพันธ์1998 ทำให้ วิอัลลี่ ได้รับการไว้วางใจจาก เคน เบตส์ให้ขึ้นมารับงานทันทีในตำแหน่งผู้เล่น-ผู้จัดการทีมบนวัย33 ปี เป็นกุนซือชาวอิตาเลียนคนแรกในแผ่นดินเมืองผู้ดี ก่อนพาทีมคว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้สำเร็จทันทีในช่วงเวลา 3 เดือนจากนั้น
วิอัลลี่ ได้แชมป์ในฐานะนักเตะกับ เชลซี คือ เอฟเอ คัพปี 1997 ก่อนเป็นแชมป์ในฐานะผู้เล่น-ผู้จัดการทีมก็คือลีกคัพ 1998 และคัพ วินเนอร์สคัพ 1998
พร้อมกันนี้ วิอัลลี่ ยังถูกบันทึกตลอดกาลด้วยว่า เป็นผู้จัดการทีมคนสุดท้ายที่ได้แชมป์ ณ เวมบลีย์ เอ็มไพรพูล หรือ โอลด์ เวมบลีย์ หอคอยคู่กู้พิภพ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นนิว เวมบลีย์ เส้นโค้งในปัจจุบัน
หลังจากข่าวการสูญเสีย โบเน็ตติ ออกมาไม่กี่ชั่วโมง มีข่าวว่า วิอัลลี่ ปัจจุบันวัย 55 ปี ที่ต่อสู้กับมะเร็งร้ายที่ตับอ่อนด้วยเวลาอันยาวนานถึง 17 เดือน จากการทำคีโมบำบัด ตอนนี้ผลการตรวจยืนยันแล้วว่าไม่พบมะเร็งอีกแล้ว
ความเหมือนกันโดยบังเอิญของทั้ง โบเน็ตติ กับวิอัลลี่ ก็คือ ทั้งสองคนไม่ได้ถูก “จดจำ” จากในมหกรรมอย่าง “ฟุตบอลโลก”
แต่พวกเขาคือ “ฮีโร่ของสโมสร” ที่มีผลงานยากจะลืมเลือน ในยุคที่ทีมกำลัง “ดิ้นรนขวนขวาย”
โบเน็ตติ อยู่ในยุค 60-70 ก่อนทีมแทบจะหายไปจากแผนที่ฟุตบอลนานนับ 10 ปี
กระทั่งถึงยุคของ วิอัลลี่ ที่มาในช่วงการกำเนิดใหม่ของบอลอังกฤษ นั่นคือ พรีเมียร์ลีก ปลายทศวรรษที่ 90
ทั้งหมดคือ “ฮีโร่” ก่อนถึงยุค “เงินเสี่ยหมี” มา“โม่แป้ง”!!!
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี