ครบรอบปีที่ 92 ของสถิติไร้เทียมทาน และเป็นสถิติที่ยากเหลือเกินต่อการทำลาย
ไม่ว่าใครก็คงจะทำลายยากแบบสุดๆ
...ย้อนกลับไปในฟุตบอลลีกสูงสุดของอังกฤษ ในฤดูกาล 1927-28 เป็นซีซั่นที่ 36 ของวงการฟุตบอลเมืองผู้ดี
“ทอฟฟี่สีน้ำเงิน” เอฟเวอร์ตัน ผงาดครองแชมป์ลีกเป็นสมัยที่ 3 ในประวัติศาสตร์ของสโมสร ด้วยสถิติเตะ 42 นัด ชนะไป 20 แพ้ 9 เข้าป้ายด้วยการมี 53 คะแนน เบียด ฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์ ทีมขาใหญ่ในยุคนั้นได้แบบสุดระทึก 2 คะแนน
ฮัดเดอร์สฟิลด์ ตอนนั้นเป็นแชมป์มา 3 สมัยติดต่อกันในปี 1924, 1925 และ 1926 ก่อนจะเสียงมงกุฎแชมป์ให้ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ในปี 1927 ตามด้วยการพ่ายให้กับ เอฟเวอร์ตัน
“ทอฟฟี่เมน” ทีมนั้นมี โธมัส เฮอร์เบิร์ต แม็คอินทอช เป็นผู้จัดการทีม
วอร์นี่ย์ เครสส์เวลล์ เป็นกัปตันทีม พร้อมกับปีกตัวจี๊ดอย่าง เท็ด คลิทช์ลี่ย์ และนักเตะใหม่อย่าง อเล็กซ์ ทรุ๊ป ที่เพิ่งย้ายมาจาก ซันเดอร์แลนด์
แต่ปีนั้นไม่มีใครจะโดดเด่นไปกว่า วิลเลี่ยม ราล์ฟ หรือ “ดิ๊กซี่” ดีน
ปีนั้น ดีน ลงเล่นไป 39 นัด ซัดไปถึง 60 ประตู!!!!!!!!!!!
แน่นอนที่สุด สถิติแบบนี้ยากต่อการทำลาย และยากที่จะเกิดขึ้นอย่างที่สุด ไม่ว่าจะ พ.ศ.หรือ ค.ศ.ไหนก็ตามที
หลายคนอาจจะเลิกคิวสงสัยว่าทำไมถึงยิงได้ขนาดนั้น เป็นเพราะระบบการเล่นหรือว่าอย่างไร ตรงนั้นก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัย แต่ต้องไม่ลืมว่า ไม่เคยมีใครทำได้
ก่อนหน้านั้นสถิติยิงสูงสุดที่ทำได้ก็คือ 43 ประตู เป็นของ เท็ด ฮาร์เปอร์ ตำนานของ “กุหลาบไฟ” แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส
ในซีซั่น 1925-26
แน่นอนที่สุด คำจำกัดความของ ดิ๊กซี่ ดีน ที่ว่า “Footballer, Gentleman, Evertonian» ไม่ได้มาเพราะโชคช่วยแน่นอน
ดีน เกิดในเมืองลิเวอร์พูล ที่ฝั่งเบอร์เค่นเฮด ถ้าพูดง่ายๆ ก็คือ “อยู่ฝั่งธนฯ” เมื่อ 22 มกราคม 1907 ออกจากโรงเรียนตอนอายุ 14 ปี มาทำงานที่สถานีรถไฟไวร์รอล และเริ่มสตาร์ทการเล่นฟุตบอลกับ ทรานเมียร์ โรเวอร์ส ทีมในถิ่นกำเนิดแท้ๆ ในอีก 2 ปีต่อมา ก่อนจะย้ายมาอยู่กับ เอฟเวอร์ตัน ในวัย 18 ปีทีมที่ “วิลเลี่ยม ซีเนียร์” พ่อของเขาเคยพามาดูเกมที่กูดิสัน พาร์ค ตั้งแต่ดิ๊กซี่อายุได้ 8 ขวบเท่านั้น
โธมัส แม็คอินทอช นัด ดีน มาพูดคุยกันที่วูดไซด์ โฮเทล เมื่อปี 1925 เพื่อเจรจาให้ ดีน ย้ายมาอยู่กับเอฟเวอร์ตันซึ่งห่างจากบ้านของเขาประมาณ 4 กิโลเมตร ก่อนจะเซ็นสัญญามาเป็นเดอะบลูส์ ในราคา 300 ปอนด์
ที่จริงแล้วครอบครัวของเขาไม่ชอบให้เรียกว่า “ดิ๊กซี่” ต้องการให้เรียกเขาว่า “บิลล์” หรือ “บิลลี่” มากกว่า สาเหตุอาจจะถูกเรียกชื่อว่า “ดิ๊กซี่” มาจากสีผิว และผมของ ดีน ที่คล้ายกับชาวดิ๊กซี่ทางตอนใต้ของสหรัฐอเมริกา ในยุคที่ตอนนั้นที่คนจากทั่วโลก และหลายเมืองมารวมตัวกัน เนื่องจากการเดินเรือมาเทียบท่าที่เมืองลิเวอร์พูล ก็เป็นไปได้
...สถิตินี้เกิดขึ้นเมื่อ ดิ๊กซี่ ดีน อายุได้ 21 ปี โดยเขาออกสตาร์ทซีซั่นด้วยการยิงประตูได้ถึง 9 นัด ติดต่อกัน โดยเฉพาะนัดที่ 9 รัวใส่ แมนฯยูไนเต็ด ถึง 5 ประตู ก่อนจะมาหยุดการยิงในศึกเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้ กับ ลิเวอร์พูล ที่กูดิสัน พาร์ค
อย่างไรก็ตาม การเจอกันที่แอนฟิลด์ในซีซั่นนั้น ดีน ระเบิดฟอร์มซัดแฮททริกในเกมที่เสมอกันอย่างโชกโชน 3-3
ดีน พังประตูเป็นว่าเล่นโดยเฉพาะในช่วงโค้งสุดท้ายของซีซั่น เขายิงแล้วยิงอีก และมีส่วนสำคัญในการตัดสินแชมป์เมื่อรัว 4 ประตู ให้ทีมบุกชนะ เบิร์นลี่ย์ 5-2 ปิดท้ายด้วยยิงแฮททริกในนัดฉลองแชมป์ที่เสมอกับ อาร์เซนอล 3-3
สรุปในลีก ดีน ลงเล่นไป 39 นัด ยิงได้ 60 ประตู
หากนับในปีปฏิทินนั้น ดีน กระหน่ำประตูได้มากถึง 85 ประตูด้วยกัน!!!
ในซีซั่นนั้น เอฟเวอร์ตัน ยิงได้ทั้งหมด 102 ลูก เท่ากับว่าดีน นั้นยิงประตูให้กับทีมในลีกได้มากกว่าครึ่ง และสถิตินี้ก็อยู่ยั้งยืนยงมาจนถึงทุกวันนี้ 92 ปีแล้ว!!!!
พร้อมกับเป็นนักฟุตบอลชุดแรกของโลก ที่ถูกยกเข้าสู่ทำเนียบยอดแข้งในตำนาน หรือ The English Football Hall of Fame
เพราะนักบอลที่ทำประตูได้ใกล้เคียงที่สุดกับ ดีน ก็คือ ทอม วาริ่ง ของแอสตัน วิลล่า 49 ประตู ปี 1931
จิมมี่ กรีฟส์ ดาวยิงสูงสุดตลอดกาลบอลอังกฤษเคยทำได้สูงสุด 41 ประตู กับ เชลซี ปี 1961 และเป็นนักบอลคนสุดท้ายที่ยิงในลีกได้เกิน 40 ลูกต่อ 1 ซีซั่น
ใกล้เคียงสุดคือ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ของลิเวอร์พูล ที่ทำได้ 32 ประตู ในปีเปิดตัวกับทีมเมื่อปี 2018
จะด้วยเหตุผลกลใดก็แล้วแต่ การพังประตูได้ขนาดนั้นของ ดิ๊กซี่ ดีน คือ “ปรากฏการณ์ของฟุตบอล”
ดีน คือสัญลักษณ์ตลอดกาลของเอฟเวอร์ตัน เพราะหลังจากการได้แชมป์ดิวิชั่น 1 และยิงประตูมากมายในซีซั่นสุดมหัศจรรย์นี้แล้ว ไม่น่าเชื่อว่าอีก 2 ซีซั่นต่อมา เอฟเวอร์ตัน จะตกชั้นปี 1930
แต่ ดีน ไม่ย้ายหนีไปไหน
เขาอยู่กับทีมต่อ และช่วยยิงให้ทีมได้แชมป์ดิวิชั่น 2 ปี 1931 และกลับมาอยู่ดิวิชั่น 1 ได้ในซีซั่นเดียวก็ได้แชมป์ทันทีในปี 1932
ที่สุดก็คือ ปีต่อมา 1933 เอฟเวอร์ตัน ครองแชมป์ เอฟเอ คัพ มาครองด้วยการถลุง แมนฯซิตี้ 3-0 ในเกมแรกของประวัติศาสตร์ที่ “นักฟุตบอลมีหมายเลขเสื้อ” ในสนาม
บันทึกไว้ก็คือ หมายเลข 9 คนแรกของวงการฟุตบอลอังกฤษ ที่ถูกใส่ลงสนาม...นั่นคือ ดิ๊กซี่ ดีน
433 นัด 383 ประตู กับ เอฟเวอร์ตัน พร้อมกับยิงแฮททริกให้ทีมถึง 37 ครั้ง และถือสถิติการยิง 19 ประตูในเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้ ฝั่งสีน้ำเงินเอาไว้ตลอดกาล ส่วนฝ่ายแดงคือ เอียน รัช ในกาลต่อมา
...ความยอดเยี่ยมตรงนี้ ถึงขนาดที่สุดยอดปรมาจารย์ลูกหนังฝั่งตรงข้ามอย่าง บิลล์ แชงคลี่ย์ แห่งลิเวอร์พูล ฟุตบอล คลับ ผู้มีวลีกรีดเลือดใส่ชาวทอฟฟี่บลูส์มานักต่อนัก ยังซูฮกถึงความยอดเยี่ยมของ ดิ๊กซี่ ดีน
“ดิ๊กซี่ เป็นกองหน้าที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา”
“บันทึกการถล่มประตูของเขาเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ที่สุดภายใต้ดวงอาทิตย์นี้!!!! เขาเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า บีโธเฟ่น, เชคสเปียร์ และแรมบรันต์”
ความยิ่งใหญ่ของทั้งสองคนที่ให้เกียรติกันได้ประจักษ์ต่อสายตาชาวโลกมาจนถึงทุกวันนี้ เมื่อ บิลล์ แชงคลี่ย์ มีรูปปั้นอยู่หน้าสนามแอนฟิลด์
ดิ๊กซี่ ดีน ก็มีรูปปั้นอยู่ที่หน้าสนามกูดิสัน พาร์ค
น่าแปลกกว่าก็คือ รูปปั้นของทั้งสองท่านนี้ ย้ายไปย้ายมา 3 รอบเท่ากันพอดิบพอดี!!!
อีกทั้งในเมืองลิเวอร์พูล มีโรงแรมชื่อว่า แชงคลี่ย์ โฮเทล กับ ดิ๊กซี่ ดีน โฮเทล ตั้งอยู่ตรงข้ามกันและกันที่ถนนวิคตอเรีย สตรีท ในใจกลางเมืองอีกด้วย...
“ถ้าจะมีใครสักคนที่จะทำลายสถิตินี้ มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ทำได้ แต่ผู้ชายคนนั้นจะต้องเดินบนน้ำได้เท่านั้น!!!!!” ดีน กล่าวเอาไว้ หลังจากทำสถิติสุดอลังการ
ซึ่งโอกาสทำลายคงยาก เพราะนอกจากในหนังและในการ์ตูนแล้ว
เรายังหาคนเดินบนน้ำได้ด้วย และเตะบอลได้ด้วย...
ไม่เคยมี!!!
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี