หนังสือพิมพ์ฉบับเช้าวันที่ 9 พฤษภาคม 2013 หรือเมื่อ 7 ปีที่แล้ว หน้าข่าวกีฬาพาดหัวข่าวใหญ่เหมือนกันทั้งโลก
เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ยอดผู้จัดการทีมชาวสกอตแลนด์ ของ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ประกาศวางมือ
ถือเป็นข่าวช็อกวงการฟุตบอลและวงการกีฬาโลกเป็นอย่างยิ่ง กับบุคคลที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวด ไม่แปลกอะไรที่จะบอกว่า นี่คือ “ผู้ชนะสิบทิศ” แห่งวงการลูกหนัง
เป็นยอดฝีมือที่เจอมากับทุกสิ่งก่อนจะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่
เซอร์เฟอร์กี้เป็นแบบฉบับของ “คนเจน B” (Baby Boomer Generation) แม้ว่าจะเกิดในยุคของ Silent Generation ระหว่างปี พ.ศ. 2468-2488 โดย เซอร์ เกิด 2484 แต่มาเติบโตในยุคของเจน B แบบเต็มตัว
Silent Generation ผู้คนจึงมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก ต้องทำงานหนักในโรงงาน หามรุ่งหามค่ำ คนรุ่นนี้จึงมีความเคร่งครัดต่อระเบียบแบบแผนมาก มีความจงรักภักดีต่อนายจ้าง และประเทศชาติสูง เคารพกฎหมาย
เซอร์ เติบโตในยุคต่อมา ที่ว่าเป็นแบบฉบับนั่นก็คือ เป็นคนที่มีชีวิตเพื่อการทำงาน เคารพกฎเกณฑ์ กติกา อดทน ให้ความสำคัญกับผลงานแม้ว่าจะต้องใช้เวลานานกว่าจะประสบความสำเร็จ อีกทั้งยังมีแนวคิดที่จะทำงานหนักเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัว มีความทุ่มเทกับการทำงานและองค์กรมาก คนกลุ่มนี้จะไม่เปลี่ยนงานบ่อย เนื่องจากมีความจงรักภักดีกับองค์กรอย่างมาก
ถือว่ามีอยู่ในตัวของเซอร์เฟอร์กี้อย่างแท้จริง
ไม่มีใครชนะในทุกๆ ศึก แต่การต่อสู้และเดิมพันหลายๆ ครั้ง ในยุคของเขา เขามักจะเป็นผู้ชนะ
การทำงานในสกอตแลนด์ ก็ประสบความสำเร็จตั้งแต่จับงานที่ เซนต์ เมียร์เรน ด้วยการพาทีมขึ้นชั้นในปี 1977 ก่อนจะคุม อเบอร์ดีน เป็นยอดทีมแห่งแดนสกอตต์ ด้วยการได้แชมป์สกอตติช พรีเมียร์ ดิวิชั่น ถึง 3 สมัย, แชมป์สกอตติช คัพ 4 สมัย, สกอตติชลีกคัพ 1 สมัย, คัพ วินเนอร์สคัพ 1 สมัย และซูเปอร์คัพ อีก 1 สมัย
แต่การมาอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คือโฟกัสสำคัญ นับตั้งแต่เข้ามาทำงานแทน รอน แอ๊ตกินสัน จอมโอ่อ่า เมื่อ 6 พฤศจิกายน 1986 เป็นต้นมา
อยากได้ เทอร์รี่ บุทเชอร์ แต่กลายเป็น สตีฟ บรู๊ซ และ แกรี่ พัลลิสเตอร์ ที่ลงตัว
ฟาดฟันกับศิษย์รักอย่าง กอร์ดอน สตรั๊คคั่น แล้วเขี่ยออกจากทีม เช่นเดียวกับแก๊งขี้เมาใจดี พอล แม็คกรัธ และนอร์แมน ไวท์ไซด์ แล้วดึง มาร์ค ฮิวจ์ส กลับมาเล่นกับ ไบรอัน แม็คแคลร์
ลงทุนครั้งสำคัญในปีที่ 4 ที่คุมทีม ก่อนจะตัดใจหั่นศิษย์รัก จิม เลห์ตัน ในเกมชิงเอฟเอ คัพ นัดรีเพลย์ 1990 แล้วส่ง เลส ซีลี่ย์ เฝ้าเสา และได้แชมป์แรกในการคุมทัพผี ซึ่งเป็นนัดชี้ชะตาว่าจะอยู่หรือจะไปในตำแหน่งกุนซือ
เลือกจัดทำอะคาเดมี่ให้เข้มแข็ง เพื่อ“สร้างนักบอล”ควบควบคู่กับการ“ซื้อนักบอล” จากยุคปั้น 4 กุมาร ลี ชาร์ป, รัสเซลล์ เบียร์ดสมอร์, ลี มาร์ติน และมาร์ค โรบินส์ ก่อนจะได้โคตรบอลอย่าง ไรอัน กิ๊กส์ เป็นขุนพลเอก
ซื้อ ปีเตอร์ ชไมเคิล เอริค คันโตน่า กับ รอย คีน ในยุคเริ่มต้นพรีเมียร์ลีก
ใช้เด็กอย่าง เดวิด เบ๊คแฮม, แกรี่ เนวิลล์, พอล สโคลส์, นิกกี้ บัตต์, ฟิลเนวิลล์ ลงเป็นแกนหลักปี 1996
จำเป็นต้องขาย “ยาป สตัม” ออกไปจากทีมเพราะมีปัญหารอบทิศ แต่ได้ ริโอ เฟอร์ดินานด์ มาแทน
ขายศิษย์รัก เดวิด เบ๊คแฮม เพราะไม่ชอบหน้า วิคตอเรีย อดัมส์ แล้วได้คริสติอาโน่ โรนัลโด้ เข้ามา
กองหน้ามหากาฬจากยุค 4 หอก แอนดี้ โคล, ดไวท์ ยอร์ค, โอเล่ โซลชา และเท็ดดี้ เชอร์ริงแฮม มาสู่ยุคของ รุด ฟาน นิสเตลรอย กับ เวย์น รูนี่ย์
การเติม เนมานญา วีดิช กับ ปาทริซ เอวร่า
การปรับตำแหน่งให้ ไรอัน กิ๊กส์ และการเรียก พอล สโคลส์ กลับมาช่วยทีมทั้งที่รีไทร์ไปแล้ว
คู่ปะทะของ เซอร์เฟอร์กี้ มีมากมายหลายคน เริ่มจากยุคที่“หอกข้างแคร่”อย่าง เคนนี่ ดัลกลิช ทั้งที่ ลิเวอร์พูล และ แบล็คเบิร์น ต่อด้วย อาร์เซน เวนเกอร์,โชเซ่ มูรินโญ่ เป็นอาทิ แต่คนที่ถูกพูดถึงที่สุดคงไม่พ้น เวนเกอร์
ในวันที่ เวนเกอร์ ได้เข้ามารับตำแหน่งแทนที่ของ บรู๊ซ ริออค เมื่อเดือนพฤศจิกายน 1996 และได้รับการ“รับน้อง” จากปากของ เฟอร์กี้ ทันที
“ผมได้ข่าวมาว่า ผู้จัดการทีมคนใหม่ของอาร์เซนอล พูดได้ถึง 5 ภาษา ตกลงเค้าเป็นคุณครูหรือว่าเป็นโค้ชฟุตบอล อืมนะ...ผมรู้จักเด็กคนนึงอายุ 15 ปีจากไอวอรี่โคสต์ พูดได้ 5 ภาษาเหมือนกัน!!!”
จากนั้นทั้งสองคนเริ่มที่จะมีปากเสียงดุเดือดกันขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งความระห่ำเดือดเริ่มแรงขึ้น แรงขึ้น แรงขึ้นเรื่อยๆ และ เวนเกอร์ ปฏิเสธการจับมือกับ เฟอร์กี้ ในเกมเอฟเอ คัพ นัดรีเพลย์ ปี 1999 ก่อนที่ปีนั้น ยูไนเต็ด จะเป็น 3 แชมป์
อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ได้ประดับยศเป็น“อัศวิน”
ทั้งคู่นี้ถือเป็นไม้เบื่อไม้เมา ล่อกันเละผ่านสื่อไม่น้อยกว่า 20 ช็อตตลอด 16 ปีที่ประฝีมือกัน
ถือเป็นยุคการต่อสู้ที่สนุกสุดๆ และเชื่อว่า เซอร์เฟอร์กี้ ไม่มีทางลืมทั้ง ดัลกลิช, เวนเกอร์ และมูรินโญ่ ตลอดไป
ที่สำคัญไม่มีใครลืม ช่วงเวลาของ “Fergie Time”
เสน่ห์ในการคุมทีม ทำให้ แมนฯยูไนเต็ด ประสบความสำเร็จมากมาย จากยุคแมนน่วล เข้าสู่ยุคดิจิทัล จนมีคนติดตามเป็นแฟนฟุตบอลมากมายทั่วโลก
.....เวลานี้ ทัพปีศาจแดง ใช้เงินซื้อนักเตะไปแล้วรับตั้งแต่ปี 2013 ที่ เซอร์อเล็กซ์เฟอร์กูสัน ลาทีม ถึง 968 ล้านปอนด์
ขณะที่ยุคของ เซอร์เฟอร์กี้ นั้นเขาใช้เงินไปที่ 721.6 ล้านปอนด์ เท่านั้นตลอดระยะเวลาการคุมทัพ 26 ปี
นับตั้งแต่เขาอำลาทีมมา 6 ฤดูกาล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นั้นยังไม่เคยคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ หรือ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกได้อีกเลย
ว่ากันตามเชิง การออกจากโอลด์ แทรฟฟอร์ด ของเซอร์ ไม่ต่างอะไรจากวันที่ ดัลกลิช ไปจากลิเวอร์พูล
พร้อมกับยุติความยิ่งใหญ่ของชาวสกอตแลนด์ บนแผ่นดินอังกฤษอีกด้วย......
ตลอด 27 ปีที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด “ท่านเซอร์” เสกแชมป์มาครองอย่างล้นหลาม ประกอบด้วยแชมป์พรีเมียร์ลีก 13 สมัย, เอฟเอ คัพ 5 สมัย, ลีกคัพ 4 สมัย, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 2 สมัย และ ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ, คัพ วินเนอร์ส คัพ และยูโรเปี้ยน ซูเปอร์คัพ อย่างละ 1 สมัย
กระทั่ง แคธี่ย์ ภรรยาของท่านเซอร์ ต้องเสียคู่แฝดไปอย่างไม่มีวันกลับ ทำให้การรีไทร์เริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้ง หลังจากเคยวางแผนเอาไว้ตั้งแต่ปี 2001 แต่หนนั้นก็พลิกกลับมา เพื่อที่จะทุบสถิติ ลิเวอร์พูล
คู่ปรับสำคัญให้ได้ก่อน
สุดท้ายทุกอย่างจบลงเมื่อ 8 พฤษภาคม 2013
“แน่นอนที่สุด ผมอยากคุมทีมต่อ แต่มีวันหนึ่ง ผมเห็นภรรยาของผม นั่งดูทีวีกลางดึก และเธอก็มองขึ้นบนเพดาน ผมรู้เลยว่า แคธี่ย์ กำลังโดดเดี่ยว ก็ทั้งเธอและ บริดเก็ต เป็นแฝดกัน คุณรู้มั้ย ตอนที่ผมบอกเธอว่า ผมจะวางมือ เธอก็ไม่ได้คัดค้านอะไรเลย เพราะผมรู้ว่าเธอต้องการให้ผมทำแบบนั้น”
ชื่อเสียง, เกียรติยศ, เพื่อนฝูง ฉันใดก็ฉันนั้นฉันเมื่อไหร่ก็ได้ สุดท้ายเอกบุรุษกับคำว่าหัวหน้าครอบครัว คือคนละคำๆ แต่
คนคนเดียวกันแปลเป็นคำคำนี้ได้
ครอบครัวก็ต้องมาก่อนทุกอย่างเสมอ.............
----- บี แหลมสิงห์ -----
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี