“หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ฟุตบอล คลับ กำลังจะกลับมาลงสนามอีกครั้ง กับฤดูกาลที่มีความซับซ้อนเกิดขึ้นมากมาย
การต่อกรในสนามแข่งขัน ที่ถือว่าดุเด็ดเผ็ดมันมาโดยตลอด นับจากบทเรียนจากฤดูกาลก่อนที่อุตส่าห์โกยไปถึง 97 แต้มก็ยังอุตส่าห์ไม่ได้แชมป์
กระทั่งโกยอ้าวชนะได้ถึง 27 จาก29 นัดแรกของฤดูกาล ทำท่าจะเป็นแชมป์ที่ “เร็วที่สุด” ในประวัติศาสตร์
กลายเป็นจ่อแชมป์ที่ “ช้าที่สุด”ไปซะฉิบ
ไม่มีใครคิดว่า แชมป์แรกในรอบ 30 ปี แชมป์สมัยที่ 19 ที่เกิดขึ้นในซีซั่น 2019-20 จะรุงรังและสับสนมีอุปสรรคในสนามไม่พอ กลับมาเจอเรื่องราวของ “โควิด-19” ทำให้การดวลแข้งต้องหยุดไปนานกว่า 100 วัน หรือ 3 เดือนเศษๆ
สมาธิของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ทีมจะถูกทดสอบกันอีกครั้ง กับโอกาสที่ใกล้เคียงที่สุด ที่หลายคนมองว่า “แบเบอร์”เพราะพวกเขาต้องการอีกแค่ 6 จาก 27 คะแนนที่เหลือ
ก็จะเป็นแชมป์ทันที
เอาเข้าจริง มันเหมือนกับการบิ้วกันใหม่หมด หลังจากปีก่อน อาณาจักรแอนฟิลด์ มีอะไรที่ฉาบไปด้วยคราบน้ำตาและเสียงหัวเราะ
......การพลาดแชมป์ลีกสูงสุดที่รอคอยมาตลอด การแพ้แค่คะแนนเดียวมันเจ็บปวดมาก เมื่อทีมสามารถโกยคะแนนได้มหาศาลระดับขาดอีก 3 แต้มครบร้อย ก็ยังไม่ได้แชมป์
อย่างไรก็ตาม ชัยชนะที่มาดริด ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างของที่นี่ไม่แตกเป็นเสี่ยงๆ หลังจากมือเปล่ามายาวนานถึง 7 ปี และเข้าชิงฟุตบอล 3 รายการ แพ้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ลีกคัพ 2016, ยูโรป้าลีก 2016 และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 2018
การคว้าชัยเหนือ สเปอร์ส 2-0 คือการเดิมพันครั้งสำคัญอย่างที่สุด เพราะคือสิ่งที่ “สัมผัสได้” และทำให้ทุกอย่างยัง “ตั้งอยู่” และยังไม่แตกเป็นเสี่ยงๆ
ผลจากเกมนั้นมันชัดเจนมากๆ เมื่อ ลิเวอร์พูล เดินหน้าต่อไป ขณะที่ สเปอร์ส มาพังในช่วงกลางฤดูกาล และทำให้ต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ
เมื่อมีความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม ทำให้ทุกสิ่งอย่างหลั่งไหล่เข้าสู่สโมสรลิเวอร์พูล ผลประโยชน์ต่างๆ รอบด้าน และผู้ให้การสนับสนุนพุ่งเข้าหาสโมสรอย่างไม่ขาดสาย จนได้กำไรพุ่งพรวดขึ้นมาอยู่ในระดับท็อปของโลก
ถ้วยแชมป์ ไม่ใช่ทุกสิ่ง แต่เป็นตัวกำหนดทิศทางสโมสรได้เป็นอย่างดี
เมื่อทุกอย่างเดินมาได้เป็นอย่างดี ลิเวอร์พูล เน้นอย่างมากกับถ้วยพรีเมียร์ลีกที่ทุกคนรู้ดีว่านี่คือยอดปรารถนาที่จะต้องคว้ามันกลับมาให้ได้ หลังจากเวลาเนิ่นนานผ่านไป ใช่ผู้จัดการทีมมากมายหลายคนไม่ประสบความสำเร็จสักที
เคนนี่ ดักลิช ลาออกไปในปี 1991 จากนั้นกลับมาในปี 2011 ก็ไม่ได้ใกล้เคียงส่วนที่เหลือก็ไม่ประสบความสำเร็จเลยทั้ง แกรม ซูเนสส์, รอย เอฟแวนส์, เชราร์อุลลิเย่ร์, ราฟา เบนิเตซ, รอย ฮอดจ์สัน, เบรนแดน ร็อดเจอร์ส
คล็อปป์ พาทีมขยับเข้าใกล้มาทุกขณะ และกลายเป็นศูนย์กลางของทีม หลังจากหมดยุคของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด
ปีก่อนถือว่าใกล้เคียงอย่างที่สุดแล้ว ปีนี้ยิ่งใกล้เคียงยิ่งขึ้นกว่าเดิม
หลายเกม ลิเวอร์พูล เปลี่ยนคะแนนจาก 1 เป็น 3 และสามารถเก็บชัยได้อย่างมีมาตรฐาน การทำประตูในช่วงท้ายเกม กลายเป็นเรื่องปกติ เหมือนในยุคเครื่องจักรสีแดง ที่ได้รับฉายาว่าเนเวอร์ เซย์ ดาย
การออกสตาร์ทชนะ ชนะ แล้วก็ชนะแบบนี้ ไม่เคยปรากฏมาก่อนในวงการฟุตบอลยุโรปลีกหลักทั้ง 5 ลีก เมื่อผ่าน 27 นัด สามารถชนะได้ถึง 26 และเสมอ 1 เกมกับ แมนฯยูไนเต็ด
คนใจแคบและดูฟุตบอลเอาไว้แอ๊กเท่านั้นที่จะบอกว่า ลิเวอร์พูล ชุดนี้ไม่ดี
กระทั่งเจอกับพิษการตีข่าวที่พุ่งแรงก่อนแข่งขันในเกมที่ 28 กับ วัตฟอร์ดเล่นงานจนหนักหน่วงว่า ซีซั่นนี้อาจจะเป็นโมฆะยกเลิก หากว่า ไวรัสอู่ฮั่น ที่เริ่มระบาดในแถบเอเชีย หากเข้ายุโรปเมื่อไหร่การแข่งขันจะยกเลิกไปเลย
เกมนั้นที่วิคาเรจโร้ด “หงส์แดง” เต็มไปด้วยความผิดพลาด เล่นด้วยความกังวลจนแพ้
แน่นอนที่สุดเครดิตต้องยกให้กับวัตฟอร์ด ที่มุ่งมั่นอย่างมาก แต่พิจารณาดูเกมนี้มาเกือบ 10 รอบ ปรากฏว่า ลิเวอร์พูล เล่นเหมือนกับซีซั่นแรกที่ คล็อปป์ คุมทีมแบบเต็มตัว
การส่งบอลผิดพลาดแบบไม่น่าเชื่อซึ่งเป็นสิ่งที่แทบจะไม่เห็นเลยในสองปีหลัง แล้วสุดท้ายก็ถูกลงโทษแพ้ไปสบาย
นอกจากเสียสมาธิแล้ว ตอนนั้นเหมือนเป็นช่วงเวลาที่ทีมกำลังกดดันแบบสุดๆ เพราะสถิติต่างๆ เกิดขึ้นอย่างมากมาย ทำให้นักบอลหลายคนแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า กำลังแบกรับความกดดันที่มากขึ้นเรื่อยๆ และกำลังจะแบกไม่ไหว
ตกรอบเอฟเอ คัพ ตามสภาพเพราะการเยือน เชลซี ไม่ใช่ของง่าย ก่อนจะฮึดเชือด บอร์นมัธ ในเกมที่เจียนไปเจียนอยู่ และตกรอบแชมเปี้ยนส์ลีก ในเกมที่สื่ออังกฤษมองว่าเป็น “บอลเพาะเชื้อ” ไม่ต่างอะไรกับการแข่งม้า ที่เชลแน่ม
เมื่อบอลต้องหยุดเพราะโควิด-19 ผมมองว่า ลิเวอร์พูล เป็นหนึ่งในทีมที่โชคดีที่ได้เบรกความเครียดตรงนั้นด้วย
จะบอกว่าเหมือน “ระฆังช่วย” ก็ว่าได้
ทุกอย่างที่มันดูเครียดไปหมด ทำให้หลายคนออกไปพักและปล่อยวาง
ถึงแม้คะแนนที่ต้องการจะเหลือแค่ 6 คะแนนก็จริง แต่โปรแกรมการไปเยือนทั้ง เอฟเวอร์ตัน กับ แมนฯซิตี้มันง่ายซะที่ไหน
มองในแง่ดี ก็ถือว่าเจ๊ากันไปอาจจะไม่ได้แชมป์เร็ว แต่ก็ช่วยให้นักบอลและทีมลดความเครียดลงไปอีกบานตะไท
ตอนนี้ได้มาตั้งสมาธิและมุ่งใหม่อีกครั้ง
เพราะกลับมาหนนี้ขอชนะอีก 2 หนเท่านั้นทุกอย่างจบลงทันที
แม้ว่าจะมีอะไรที่บั่นทอนทางความรู้สึกมากมาย ทั้งสโมสร และกองเชียร์
สโมสรมีเรื่องราวการเสียฟอร์มของผู้บริหารที่จะปลดพนักงาน พร้อมกับการช่วยเหลือทางการเงินจากภาครัฐ, การสูญเงินมหาศาลในเรื่องธุรกิจ และยังไม่สามารถลงตลาดนักบอลได้อย่างเต็มตัว เพราะภารกิจของนักเตะชุดนี้ยังไม่จบ รวมถึงรายได้ในอนาคตที่ยังไม่แน่นอน
เช่นเดียวกับแฟนบอลที่ต้องระวังตัวว่า “ติดเชื้อหรือยัง” หรือ “ได้แชมป์หรือยัง” ซึ่งผมมองว่า แฟนบอลเดอะ ค็อป หรือ ค็อป ไพร์ ทั่วโลกเป็นเหมือนกันนั่นคือทุกข์กว่าเดิมเป็นสองเท่า
กลัวทั้งติดโรค กลัวทั้งไม่ได้แชมป์
มาถึงวันนี้ ทุกอย่างจะถูกวางลงไปตามเงื่อนไขของเวลาที่หยุดไปกว่า 3 เดือนนี้ โฟกัสจะเริ่มต้นที่คืนนี้ที่กูดิสันพาร์ค
นี่อาจจะเป็นหนึ่งในเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้แมทช์ ที่ถูกบันทึกความสำคัญอีกครั้งก็เป็นได้
มีหลายคนแซวกันว่า เอฟเวอร์ตันหนึ่งปีจะเล่นดีอยู่สองนัด นั่นคือ เจอกับลิเวอร์พูล ที่แอนฟิลด์ กับ เจอกับ ลิเวอร์พูล ที่กูดิสัน พาร์ค
ที่ผ่านมา ทั้งสองทีมบดบี้ในเกมสำคัญกันมากมาย โดยเฉพาะยุค 80 จนถึงต้นยุค 90 ที่ทั้งคู่มักจะอยู่ในช่วงเวลาประวัติศาสตร์ของกันและกัน
ปี 1984 ลีก คัพ นัดชิงชนะเลิศหนแรกของทั้งสองทีมที่เจอกันในบอลถ้วย ต้องเล่นรีเพลย์กว่าจะรู้ผลว่า ลิเวอร์พูล เป็นแชมป์
ปี 1986 เอฟเอ คัพ นัดชิงชนะเลิศหนแรกของทั้งสองทีม “หงส์” ชนะ 3-1 ครองดับเบิ้ลแชมป์หนแรก
ปี 1988 ดิวิชั่น 1 ซึ่ง ลิเวอร์พูลขอแค่ไม่แพ้ก็จะเป็นสถิติใหม่ของอังกฤษ ที่จะออกสตาร์ทไร้พ่าย 30 นัด แต่ต้องหยุดไว้ที่เลข 29 ด้วยน้ำมือของ เอฟเวอร์ตัน ที่กูดิสัน พาร์ค 0-1
ปี 1989 เอฟเอ คัพ นัดชิงหลังจากเหตุการณ์โศกนาฏกรรมที่ฮิลล์สโบโร่ ก็โคจรมาชิงกัน ลิเวอร์พูลต่อเวลาชนะ 3-2
ปี 1991 เอฟเอ คัพ ที่ต้องรีเพลย์กันยับถึง 3 แมทช์ ลิเวอร์พูล บุกนำ 4 หน แต่สุดท้าย เอฟเวอร์ตัน ตามตีเสมอได้ทั้ง 4 ครา ทำให้ เคนนี่ดัลกลิช ประกาศลาออกเพราะทนความกดดันไม่ไหว
นับจากวันนั้น ลิเวอร์พูล ไม่เคยได้แชมป์ลีกสูงสุดอีกเลย
มาในวันนี้ ลิเวอร์พูล กลับมานับหนึ่งกันใหม่ในการลุ้นแชมป์ลีกหนแรกในรอบ 30 ปี ก็ได้เจอกับเอฟเวอร์ตัน ความรู้สึกมันบอกว่าพี่น้องคู่นี้ที่แยกกันมาตั้งแต่ปี 1892 นี่มันยังไงกัน
สุดท้ายก็นั่นแหล่ะ ลิเวอร์พูล กับ เอฟเวอร์ตัน...หนีกันไม่ออกจริงๆ !!!!
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี