ลีดส์ ยุคสุดยิ่งใหญ่ครองแชมป์ดิวิชั่น 1 ทีมสุดท้ายก่อนเปลี่ยนมาเป็นพรีเมียร์ลีก
การตกชั้นของ ลีดส์ เมื่อปี 1981-82 ปิดตำนานยอดทีมอันเกรียงไกรยุค 70 ไปอย่างสิ้นเชิง
ภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์เชิงลูกหนังเรื่อง The Damned Utd บ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่ ความทระนงของพวกเขาได้เป็นอย่างดี
แต่กลับกลายเป็นว่า ความโด่งดังไม่เท่ากับการตกชั้นไปเมื่อ16 ปีก่อน!!!
ในยุค 80 กว่าจะกลับมาได้ต้องใช้เวลาปีนป่ายนานถึง 8 ฤดูกาล ก่อนจะกลับมาได้สำเร็จด้วยการเป็นแชมป์ดิวิชั่น 2 ซีซั่น 1989-90หลังจาก ฮาวเวิร์ด วิลกินสัน ใช้เวลาปั้นมา 2 ฤดูกาล
2 ซีซั่นต่อมา “วิลโก้” นำทัพ ลีดส์ ครองแชมป์ได้อย่างยิ่งใหญ่ เป็นแชมป์ดิวิชั่น 1 ทีมสุดท้ายก่อนจะเข้าสู่ยุคพรีเมียร์ลีก
วิลกินสัน ยังเป็นกุนซือชาวอังกฤษคนล่าสุดที่ทำทีมได้แชมป์ลีกสูงสุดของเมืองผู้ดีอีกด้วย!!!
ปีต่อมา ลีดส์ เสีย เอริค คันโตน่า ไปให้กับ แมนฯยูไนเต็ด ถือเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่หลวง ที่ยื่นดาบให้ศัตรูตัวฉกาจแห่งยุค และได้เงินมาแค่ 1.2 ล้านปอนด์เท่านั้น
แมนฯยู ก้าวไปเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก ผิดกับ ลีดส์ ที่รูดลงมาจบอันดับที่ 17 ของตาราง มีแต้มเหนือ 3 ทีม ตกชั้นเพียงแค่ 2 คะแนนเท่านั้น ซึ่งในปีนั้นมี 22 ทีม
จากนั้นพวกเขาก็ยืนหยัดขึ้นมาจนเป็นที่จดจำกันกับยุคที่ไปเล่นยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก และเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศ เมื่อซีซั่น 2000-01
ลีดส์ จึงถูกจดจำด้วยสไตล์การเล่นที่สนุก มีเด็กใหม่เสริมทัพมากมาย เป็นทีมในตำนาน เป็นทีมมีเสน่ห์ และเป็นทีมนักลงทุน
การลงทุนในยุคนั้น ลีดส์ เป็นอีกทีมที่ดึงนักบอลต่างชาติ และดาวรุ่งดาวใหม่เข้าร่วมทีมมากมาย
ปี 2000-01 ลีดส์ซื้อ ริโอ เฟอร์ดินานด์ ดาวรุ่งจากเวสต์แฮม18 ล้านปอนด์, ร็อบบี้ คีน ซึ่งไปเล่นที่ อินเตอร์ กลับจากอิตาลี12 ล้านปอนด์, โอลิวิเยร์ ดากูร์ จากลองส์ 7.25 ล้านปอนด์, มาร์ควิดูก้า กองหน้าออสซี่ จากเซลติก 7.2 ล้านปอนด์ และโดมินิค มัตเตโอ จากลิเวอร์พูล 4.75 ล้านปอนด์
ลงทุนปีนั้นไปกว่า 43 ล้านปอนด์ และปล่อยนักบอลออกไปหลายคน ได้เงินมา 12.9 ล้านปอนด์
หากย้อนกลับไปพวกเขาเสริมทัพแบบต่อเนื่อง และเสริมทัพแบบไม่หยุดมาหลายปี ทั้งจิมมี่ ฟลอยด์ ฮัสเซลเบงค์, ไนเจล มาร์ติน, ลี ชาร์ป, กุนนาร์ ฮัลเล่, เดวิด แบ๊ตตี้, เอริค บัคเค่, แดนนี่ แกรนวิลล์, ไมเคิล ดูเบอร์รี่, แดนนี่ มิลล์ส, ดาร์เรน ฮัคเคอร์บี้, เจสัน วิลค็อกซ์, ไมเคิล บริดเจส
แฟนบอลลีดส์ ยูไนเต็ด ออกมาเฉลิมฉลองการขึ้นชั้นแบบสุดเหวี่ยงที่หน้าสนามเอลแลนด์ โร้ด
แต่ปี 2000-01 ถือว่าลงทุนมากที่สุด
ในปีต่อมา ลีดส์ ซื้อ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ จากลิเวอร์พูล กับ เซ็ธ จอห์นสัน จากดาร์บี้ เคาน์ตี้ สองคนรวม 20 ล้านปอนด์ แล้วพวกเขาก็หลุดโค้งไม่ได้ไปแชมเปี้ยนส์ลีก เมื่อจบอันดับ 5 เท่านั้น
เมื่อเงินไม่ได้เข้าทีมเหมือนเดิม ปัญหามันเริ่มเกิดขึ้นกับการบริหารทีมที่ “เฟ้อ” จนเกินไป
ปีเตอร์ ริดส์เดล นักธุรกิจเชื้อสายลีดส์ เป็นคนพื้นที่และรักสโมสรแห่งนี้เป็นชีวิตจิตใจ เขาเข้ามาบริหารทีมเมื่อปี 1997 พร้อมกับกู้เงินมา 60 ล้านปอนด์ ด้วยหวังจะเนรมิตให้ทีมเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในวงการฟุตบอลต่อไป
ทุกอย่างทำท่าว่าจะดี แต่แล้วเมื่อการพลาดตั๋วไปแชมเปี้ยนส์ลีก 2 ซีซั่นติดต่อกันคือ ปี 2001-02 และ 2002-03 ทำให้ทีมไม่สามารถนำเงินไปชำระหนี้เงินกู้ได้ทันเวลา
เดวิด โอเลียรี่ กุนซือทะเลาะกับ ริดสเดล ออกสื่อ เรื่องที่จะขายริโอ เฟอร์ดินานด์ ออกไปจากทีม ก่อนที่ โอเลียรี่ จะถูกปลดจากตำแหน่งในช่วงซัมเมอร์ปี 2002 หลังจากใช้เงินไปถึง 100 ล้านปอนด์ในระยะเวลาทำงาน 4 ปี เขาบอกว่า ในชีวิตนี้เขาไม่เคยคิดลาออกจากลีดส์ แต่ทุกอย่างจำเป็นต้องเกิดขึ้น เพราะการบริหารที่แย่ของ ริดสเดล
ลีดส์ เปิดซีซั่น 2002-03 ด้วยการขาย ริโอ เฟอร์ดินานด์ ไปให้กับ แมนฯยูไนเต็ด เป็นปราการหลังพันล้านคนแรก ในราคา 30 ล้านปอนด์และ ร็อบบี้ คีน ไปที่ สเปอร์ส อีก 7 ล้านปอนด์ เงินทั้งหมดไม่ได้มาทำทีมต่อ แต่เอาไปใช้หนี้
“เอล เทล” เทอร์รี่ เวนาเบิ้ลส์ เข้ามาทำงานแทน พร้อมกับคำสัญญาอย่างเป็นมั่นเหมาะของ ริดสเดล ว่า จากนี้จะไม่มีการขายใครออกไปจากทีมอีกแน่นอน
จากนั้น ลี โบวเยอร์, โจนาธาน วู้ดเกต และร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ถูกขายเพื่อนำเงินมาใช้หนี้
เวนาเบิ้ลส์ ทนไม่ไหว ลาออกไปในวันที่ 21 มีนาคม และให้หลังจากนั้น 10 วันทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่แย่ลง
ริดสเดล ไปต่อไม่ไหว สุดท้ายเขาลาออกไปในวันที่ 31 มีนาคม 2003 และที่สำคัญที่สุดก็คือ ลีดส์ มีหนี้สินอยู่ถึง 103 ล้านปอนด์ และ ลีดส์ จบซีซั่นในอันดับที่ 15
ซีซั่นต่อมาก็ไม่รอด แฮร์รี่ คีลล์, ไนเจล มาร์ติน และโอลิวิเยร์ ดากูร์ย้ายทีม มีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารทั้ง จอห์น แม็คเคนซี่, เทรเวอร์ เบิร์ช และมาถึงมือของ เจราลด์ กราสเนอร์ แต่ก็ไม่ทันกาล
ในส่วนของการคุมทีม เวนาเบิ้ลส์ ออกไป ดึงตัว ปีเตอร์ รีด เข้ามาทำ ก็ไม่รอด เอดดี้ เกรย์ เข้ามาทำงานต่อในเดือนพฤศจิกายน 2003 ในฐานะรักษาการ แต่ไม่มีพลังพอที่จะช่วยให้ทีมอยุ่รอด
จบซีซั่น 2003-04 ลีดส์ ตกชั้นในอันดับที่ 19 ตกชั้นมันยิ่งกว่า....ฝันร้าย!!!
หนักไปกว่านั้นก็คือ เมื่อตื่นจาก “ฝันร้าย” มันกลายเป็นความจริงที่ “หายนะ”!!!!
โอกาสเฉี่ยวไปเฉียดมาเกินขึ้นอีกไม่กี่ครั้ง ที่กลับมาสู่ลีกสูงสุด แต่ที่ซ้ำร้ายก็คือ พวกเขาต้องหล่นไปถึงวงการฟุตบอลระดับ 3 หรือ ลีกวัน ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ทีม
มาร์เซโล่ บิเอลซ่า กุนซือที่ถูกตราหน้าว่าเป็น “คนบ้า” ทำสิ่งที่ต้องบอกว่า“บ้าแต่ว่าไม่โง่” สำเร็จ
ลีดส์ จมปลักอยู่ตรงนั้นนานถึง 3 ปี ได้เพลย์ออฟในสองปีแรกแต่ไม่ผ่าน
....ในซีซั่นแรกที่ตกชั้น นั่นคือ 2004-05 ทีมขาดสภาพคล่องก็ถึงเวลาที่จะต้องขายนักเตะออกไปจากทีม เพื่อนำเงินมาใช้หนี้ ขุนพลตัวสำคัญถูกปล่อยออกไป
พอล โรบินสัน 1.5 ล้านปอนด์ไปเฝ้าเสาให้สเปอร์ส, อลัน สมิธ ไปอยู่กับแมนฯยูไนเต็ด 7 ล้านปอนด์, สตีเฟ่น แม็คเฟล กองกลางไปบาร์นสลี่ย์ 2 ล้านปอนด์, มาร์ค วิดูก้า ไปยืนหน้าให้ มิดเดิ้ลสโบรช์ 4 ล้านปอนด์,เอียน ฮาร์ท ไปเลบันเต้, สก็อตต์ คาร์สัน ไปลิเวอร์พูล 1 ล้านปอนด์ พร้อมกับ ปล่อยฟรี นิค บาร์มบี, สตีฟ กัปปี้, เจสัน วิลค็อกซ์, ไมเคิล บริดเจส, แดนนี่ มิโลเซวิซ, โดมินิค มัตเตโอ, แดนนี่ มิลล์ส, ไบรอัน ดีน,เคร็ก ฮิกเน็ตส์ และแอนดี้ คีอ๊อกห์ รวมถึง เดวิด แบตตี้ รีไทร์
ทั้งหมดเกิดขึ้นในซีซั่นเดียว!!!
คราสเนอร์ อยู่ไม่ไหว ไขก๊อกลาไปช่วงต้นปี 2005 และเป็น เคน เบตส์ ที่บริหารงานที่ “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี มานานเกือบ 2 ทศวรรษเข้ามาทำงาน
ในช่วงเวลานั้น เคน เบตส์ ที่ขาย เชลซี เข้ามาทำงานที่ ลีดส์ ตั้งแต่ปี 2005 จนถึงปี 2012 โดยมั่นอกมั่นใจว่า นี่คือเดิมพันครั้งสุดท้ายในชีวิตการทำงานของเขา หลังจากสูญเสีย แมทธิว ฮาร์ดิ้ง คู่ค้าทางธุรกิจที่เชลซี จากเหตุการณ์เฮลิคอปเตอร์ตก
เบตส์ จ้องจะซื้อ เชฟฟิลด์ เวนส์เดย์ แต่ไม่สำเร็จ ทำให้เขาเลือกมาลงทุนที่ลีดส์ พร้อมกับคำมั่นที่ว่า จะพา ลีดส์ กลับมา และเอาของที่ควรจะเป็นของลีดส์กลับมาดังเดิม
เพราะตอนนั้น ลีดส์ ย่ำแย่ถึงขั้นที่ว่า ต้องขายสนาม และเช่าสนามตัวเองเพื่อแข่งบอลต่อ!!!
คณะกรรมการบริหารสโมสรยุคของ คราสเนอร์ จำใจขายสนามให้กับ จาค็อบ แอดเลอร์ ที่เป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเมืองแมนเชสเตอร์ และในสัญญาดังกล่าว ลีดส์ ได้จัดการทำสัญญาเช่าสนามเอลแลนด์ โร้ด เป็นระยะเวลา 25 ปี โดยเงื่อนไขสามารถซื้อกลับคืนได้ในราคา 17 ล้านปอนด์
แต่ทั้งหมดคือต้องซื้อกลับภายในเวลาไม่เกิน ปี 2029 เท่านั้น
การทำงานของ เบตส์ เขาลุยแหลกเพื่อชนะใจทีมดังแห่งยอร์คเชียร์ ด้วยการยื่นรายงานต่อสมาคมฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ), สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า), พรีเมียร์ลีก และ ฟุตบอลลีก เพื่อเล่นงาน เชลซี ทีมเก่าของเขาเอง ที่แอบดึง ไมเคิ่ล วู้ดส์ และ ทอม ตาอิโว่ดาวรุ่งจากศูนย์ฝึกเยาวชน “ยูงทอง” ไปร่วมทีมหน้าตาเฉย รวมทั้งเกือบจะได้ แดนนี่ โรส ดาวรุ่งอีกราย
แต่สุดท้าย ลีดส์ในองค์รวมย่ำแย่หนัก ถูกควบคุมกิจการ และสุดท้ายร่วงลงไปอยู่ดิวิชั่น 3
เป็นความอัปยศอย่างที่สุด ยอดทีมที่เกรียงไกรอย่าง ลีดส์ หล่นไปอยู่ฟุตบอลระดับ 3 เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ หลังจากได้อันดับสุดท้ายในซีซั่น 2006-07 และโดนหักไป 10 คะแนน ตามกฎการเงิน
การไปเริ่มต้นในลีกระดับ 3 เป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวด และที่สำคัญมันเกิดขึ้นเพียงแค่ 3 ปีที่หล่นจากลีกสูงสุด และไม่เหลือนักฟุตบอลจากชุดเรืองรองก่อนหน้านั้นแม้แต่คนเดียว เพราะ แกรี่ เคลลี่ แขวนสตั๊ดในปีนั้น
ลีดส์ ออกสตาร์ทซีซั่นแรกในระดับลีก 3 ด้วยการติดลบไปก่อนถึง 15 คะแนน มีการเปลี่ยนกุนซือจาก เดนนิส ไวส์ เป็นลูกหม้อเก่าอย่าง แกรี่ แม็คอัลลิสเตอร์ และทีมยึดที่ 5 แต่พลาดแพ้ในเพลย์ออฟ นัดชิงต่อ “นักรบโบราณ” ดอนคาสเตอร์ โรเวอร์ส ชวดขึ้นชั้นอย่างน่าเสียดาย แต่ถือว่าปีนั้นสุดๆ มาก
ปีต่อมาได้ที่ 4 เพลย์ออฟแพ้ มิลล์วอลล์ ในรอบตัดเชือก โดยระหว่างทางเปลี่ยนกุนซือเป็น ไซม่อน เกรย์สัน กระทั่งในปีต่อมา เกรย์สัน ได้ทำงานแบบทั้งซีซั่นพาทีมได้รองแชมป์ขึ้นชั้นกลับมาเดอะ แชมเปี้ยนชิพ
อลัน สมิธ กับ พอล โรบินสัน ร่ำไห้ เมื่อครั้ง ลีดส์ ตกชั้นปี 2004
อย่างไรก็ตาม ปัญหาทางการเงินยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการกด ลีดส์ให้เดินต่อไปได้ยาก เกรย์สัน ออกจากตำแหน่งในปี 2012 โดยเขาให้สัมภาษณ์ว่า เขารักเอลแลนด์ โร้ด แต่ด้วย “ข้อจำกัดทางการเงิน” ทำให้ทีมไม่สามารถไปได้ไกลกว่านี้อีกแล้ว
กระทั่ง เบตส์ ตัดสินใจขายหุ้นทั้งหมดให้กับ GFH แคปิตอล กรุ๊ป จากตะวันออกลาง เมื่อ 21 พฤศจิกายน 2012 และทุกอย่างจบลงอย่างราบรื่นในวันที่ 21 ธันวาคมปีเดียวกัน
เบตส์ ได้เป็นประธานสโมสรต่อไป ก่อนจะถูกขยับเป็นผู้บริหารกิตติมศักดิ์ โดยมี ซาลาห์ นอรุดดิน มาดำรงตำแหน่งแทน สุดท้ายเบตส์ ต้องออกจากทีมเมื่อมีการตรวจสอบพบว่า เขาใช้เงินเรื่องเครื่องบินส่วนตัวแบบไม่ชอบมาพากลว่า นำเงินสโมสรไปปรนเปรอตัวเอง
ลีดส์ เปลี่ยนมืออย่างจะจะอีก 2 ครั้งในช่วงต่อมา นั่นคือ มัสซิโม่เซลลิโน่ เศรษฐีอิตาลี ที่ต้องการมาลงทุนในอังกฤษ โดยเป้าหมายแรกของเขาคือ เวสต์แฮม ก่อนจะมาตกลงซื้อ ลีดส์ และเข้าครอบครองทีมในเดือนเมษายน ปี 2014 โดยใช้บริษัทของเขา “เอเลโนร่า สปอร์ต ลิมิเต็ด”ในการซื้อทีม แต่ในเดือนธันวาคม ฟุตบอลลีก ได้ตัดสิทธิ์ เซลลิโน่ ออกไปเนื่องจากได้รับเอกสารจากศาลอิตาลี ว่า เขาหลีกเลี่ยงภาษี
ตอนนั้นแฟนบอลลีดส์ก็สับสนแบบสุดๆ เมื่อมีการเปลี่ยนตัวกุนซือแบบไม่เข้าท่า และไร้ประสบการณ์ในการทำงาน นั่นคือ เดวิด ฮ็อคกาเดย์และดาร์โก้ มิลานิช ยิ่งคนหลังทำงานได้แค่เดือนเดียวก็ออกจากทีม เริ่มงาน23 กันยายน โดนปลด 25 ตุลาคมปีเดียวกัน ส่วนคนแรกอยู่ได้ 70 วันโดนปลด
ที่สุดแล้ว เซลลิโน่ ก็ขายหุ้นใหญ่ 50 เปอร์เซ็นต์ ไปให้กับ อันเดรียราดริซซานี่ ชาวอิตาเลี่ยนเช่นกัน ในต้นปี 2017 ก่อนจะกดเต็มแม็ก100 เปอร์เซ็นต์ ในวันที่ 23 พฤษภาคมปีเดียวกัน
เขาประกาศว่า งานแรกคือนำสนามกลับคืนมาเป็นของสโมสร และปรับภูมิทัศน์รอบข้างให้ดีขึ้น
สิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดก็คือ สนามเอลแลนด์ โร้ด กลับมาเป็นของสโมสรอีกครั้ง ในเดือนมิถุนายน 2017 หลังจากไปอยู่ในมือคนอื่นตั้งแต่ปี 2004 เป็นต้นมา
การซื้อคืนเกิดขึ้นในราคา 20 ล้านปอนด์ เท่ากับว่าตัดค่าใช้จ่ายในการเช่าสนามตัวเองปีละ 1.7 ล้านปอนด์ออกไป และได้กลับคืนมาอีกด้วย
ที่สำคัญก็คือ ราดริซซานี่ ได้ดึงตัวกุนซือชั้นดีอย่าง มาร์เซโล่บิเอลซ่า ชาวอาร์เจนติน่า เข้ามาคุมทัพ และกำลังจะขึ้นชั้นกลับมาได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในรอบ 16 ปี
หายไปนานอย่างน่าตกใจ ซึ่งปีที่ ลีดส์ ตกชั้นไปนั้น คือฤดูกาลไร้พ่ายของ “ปืนใหญ่” อาร์เซนอล ที่นับจากวันนั้นมา
ขุนแข้งกันเนอร์ส ก็ไม่เคยก้าวไปสู่จุดสูงสุดนั้นเหมือนกัน
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้กลายเป็น “ไวรัล” ที่คาดว่าสักพักจะกลายเป็น “ไวรัส” นั่นก็คือ ลิเวอร์พูล ได้แชมป์ลีกสูงสุด ครั้งกระโน้น ปี 1990 เป็นปีที่ ลีดส์ ขึ้นชั้นมาด้วย!!!!
ต้องไม่ลืมว่า ปีนั้น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ได้แชมป์เอฟเอ คัพ เซฟเก้าอี้ มร.อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ให้เป็นท่านเซอร์ในกาลต่อมา
ถึงวันนี้ ลีดส์ ได้ขึ้นชั้นอย่างเป็นทางการ รู้สึกได้รับรู้ถึงความคลาสสิกจะคืนกลับมา
อนาคตหนทางข้างหน้าไม่รู้จะดีจะร้าย
แต่ยังไงก็ยินดีที่ได้เจอ
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี