รอบรองชนะเลิศสอยคิวโลกเป็นไปอย่างตื่นเต้นและเร้าใจอย่างที่สุด
ไม่เคยมีใครไหนๆ หรอกครับที่ซัดกันได้เดือดถึงขั้นนี้ต้องลุ้นกันถึงเฟรมสุดท้าย ไม้สุดท้าย และสกอร์จบลงที่ 17-16 เท่ากันทั้ง 2 คู่
ถือว่าเล่นได้สมศักดิ์ศรีทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นผู้แพ้หรือผู้ชนะ
ในขณะที่นัดชิงชนะเลิศ เคยมีที่สุดแห่งความดราม่าเกิดขึ้น จนเป็นที่โลกจดจำถึงทุกวันนี้
พร้อมกับยกให้เป็นสุดยอดเกมที่ดีที่สุดในรอบชิงชนะเลิศ
............จาก จอห์น สเปนเซอร์ ผู้เป็นแชมป์โลกคนแรก ณ ครูซิเบิ้ล เธียเตอร์ โรงละครแห่งตำนานจนกลายมาเป็น “สังเวียนศักดิ์สิทธิ์” ในปัจจุบัน
มาถึงนาทีปัจจุบัน มีแชมป์มากหน้าหลายตาเกิดขึ้น มีความทรงจำมากมายบันทึกไว้ที่นี่
เรย์ เรียร์ดอน ยึดแชมป์โลกครบ 6 สมัยที่นี่, ตำนานแห่งเทพบุตรคิวทองอย่าง สตีฟ เดวิส เป็นแชมป์โลก 6 สมัย ที่นี่ หรือจะเป็นแชมป์โลกผู้พร้อมปลิดชีพทุกรายอย่าง “มัจจุราชผมทอง” สตีเฟ่น เฮนดรี้ ได้แชมป์โลกสูงสุดถึง 7 สมัย ก็ที่นี่เช่นกัน
แชมป์โลกมหาชนต้นตำรับแทงลุ้นไซด์นอกอย่าง อเล็กซ์ “เฮอร์ริเคน” ฮิกกินส์ ก็เสียน้ำตากับการคว้าแชมป์โลกที่นี่
ในทางกลับกัน จิมมี่ ไวท์ ก็พลาดท่าพ่ายแพ้ตลอดทั้ง6 ครั้ง ในนัดชิงชนะเลิศ.....
เหล่านี้คือตำนาน
หากพูดถึงเกมนัดชิงชนะเลิศ สนุกเกอร์ชิงแชมป์โลก ขอยกให้เกมนัดชิงปี 1985 หรือ 1985 Embassy World Snooker Championship คือที่สุดแห่งนัดชิงชนะเลิศ
ที่ลุ้นกันแบบไม่น่าเชื่อ เพราะแรกทีเดียวไม่มีอะไรให้ลุ้นแล้ว ก่อนจะต้องมา “ลุ้นกันถึงเฟรมสุดท้าย”
สำคัญก็คือ “ต้องลุ้นกันจนถึงดำสุดท้าย”
เป็นเกมระหว่าง สตีฟ เดวิส ที่ได้แชมป์มาแล้ว 3 สมัย 1981, 1983 และ 1984 กับ เดนนิส เทย์เลอร์ นักสนุ้กเกอร์แว่นโต ม้ามืดจากไอร์แลนด์เหนือ ที่เคยเข้าชิงเมื่อปี 1979 แต่แพ้ เทอร์รี่ กริฟฟิธส์
ในตอนนั้น สตีฟ บนวัย 27 ปี คือ หมายเลข 1 ของโลก กดไปแล้ว 5 แชมป์ในฤดูกาลเดียว รวมถึงรายการใหญ่อย่าง ยูเค แชมเปี้ยนชิพ
ฝั่งของ เดนนิส วัยล่วงเลยมาถึงเลข 36 ฟอร์มกลับมาน่าจับตามองเมื่อกดแชมป์ไป 4 รายการ
คู่นี้ทำท่าว่าจะจบเร็ว เพราะ สตีฟ นำห่าง....ห่างมากกกกกก!!!!!
เซสชั่นแรก จบลงด้วยการที่ สตีฟ ออกนำห่างไกลถึง 7-0 เฟรม ก่อนเกมจะถูกย่อลงมาเหลือ 9-6 จากนั้นขยับเป็น 15-14 แต่ สตีฟ หนีไปขึ้นแท่นที่ 17-14
เดนนิส ผู้ไม่มีคำว่าท้อในพจนานุกรมของชีวิต เดินหน้าไล่แทงทีละเฟรม ทีละเฟรม
14-17 มาเป็น 15-17, 16-17 และเป็น 17-17
ต้องตัดสินเฟรมสุดท้าย
สตีฟ เป็นผู้เปิดเฟรม เขาเปิดดีมาก เมื่อขาวลงไปติดชิ่งล่าง เดนนิส แก้สนุ้กไม่โดนเสียฟาวล์ตามหลังก่อน
สตีฟ ขึ้นนำ 62-44 บนโต๊ะเหลือ 4 ลูก เดนนิส สู้น้ำตาลหลุมไกลลงอย่างเด็ดขาด ขาววิ่งไปเตะน้ำเงินออกมาให้เขาเช็ดลงไปอย่างสวยงาม แต่ขาวมาติดชิ่ง เขายังเคาะชมพูลงไป ไล่มา 59-62 ก่อนจะหันไปหาถ้วยแชมป์เรียกเสียงเฮจากแฟนๆ
และเป็นการผ่อนคลายตัวเอง
จากนั้นมหกรรมชิงดำแห่งประวัติศาสตร์จึงเกิดขึ้น
เดนนิส เบิ้ลดำหลุมกลางไม่ลง แต่ดำไปติดชิ่งล่าง
สตีฟ เลือกที่จะแทงกัน ส่งดำผ่านเส้นเมืองลงไปจนแทบชิดติดชิ่ง
เดนนิส ออกมาเบิ้ลสู้แต่ไม่ลง และลูกเลยหลุมกลางมาไม่จ่อแต่อย่างใด
สตีฟ ลองเบิ้ลดูบ้างแต่ไม่ลง
เดนนิส ได้ส่องหลุมไกลแต่ห่างไปเกือบคืบ ลูกยังมาตั้งให้ สตีฟ มีโอกาสเช็ดหักคอไก่เพื่อคว้าแชมป์อีกสมัยไปครองเป็นสมัยที่ 4
เหลือเชื่อ ครับ....เหลือเชื่อ
สตีฟ เช็ดหักคอบางกว่าเยอะ ลูกดำไปจ่อปากหลุม ขาวทแยงออกมาเกือบถึงจุดน้ำเงิน
คราวนี้ เดนนิส ไม่พลาด ตบลงไปพร้อมกับเป็นแชมป์โลกใหม่และท่าดีใจที่เป็นตำนานจนถึงวันนี้!
นี่คือสุดยอดนัดชิงแห่งตำนานที่ขอหยิบยกมาเป็นหนึ่งในสุดยอดนัดชิงชนะเลิศที่โลกไม่มีวันลืม
การแข่งขันในครั้งนั้น ทำสถิติใหม่ในการถ่ายทอดสดในยามค่ำคืนของ BBC2 ที่มียอดผู้ชมทะลุไปถึง 18.5 ล้านวิว (18.5million viewers) และยังคงเป็นสถิติของการชมการถ่ายทอดสดในช่วงโพสต์-มิดไนท์ จนถึงทุกวันนี้ของโทรทัศน์สหราชอาณาจักร
ยอดรวมของเวลาการแข่งขัน ยาวนานที่สุดถึง 14 ชั่วโมง 50 นาที เป็นสถิติของการแข่งขันในระบบ 18 ใน 35 เฟรม หรือ Best-of-35-frames Match
เดนนิส กลับบ้านเยี่ยงวีรบุรุษ เขาได้รับกุญแจเมืองบ้านเกิดของเขาคือ เคาลิสแลนด์เมืองเล็กๆ ที่อยู่ในเคาน์ตี้ ไทโรน มีประชากรไม่ถึง 5,000 คน ในตอนนั้น
แต่มีคนมาต้อนรับการกลับบ้านมากกว่า 10,000 คน!!!
เดนนิส เป็นชาวไอร์แลนด์เหนือคนที่ 2 ที่ครองแชมป์โลกต่อจาก อเล็กซ์ฮิกกินส์ และนับตั้งแต่เขาได้แชมป์โลกครั้งนั้น
ก็ไม่มีนักกีฬาแอร์เหนือ ไม่เคยได้แชมป์ หรือกระทั่งเฉียดเข้าไปรอบชิงชนะเลิศอีกเลย......
“ผมมักจะถามตัวเองอยู่เสมอว่า เคยเบื่อที่จะพูดถึงชัยชนะครั้งนั้นหรือไม่ ผมตอบได้เลยว่า มันเหมือนกับ เซอร์เจฟฟ์ เฮิร์สท์ ที่ยิงแฮททริคในนัดชิงชนะเลิศ ฟุตบอลโลก 1966 มันเป็นความรู้สึกยิ่งใหญ่แบบนั้น ผมไม่เคยเบื่อที่จะพูดถึงช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมและยิ่งใหญ่ที่สุดในการเล่นอาชีพของผม”
“ผมใช้เวลานานถึง 18 ปีเต็มๆ ในการคว้าแชมป์รายการใหญ่ที่สุดในโลก ผมควรจะเป็นแชมป์ตั้งแต่ปี 1979 แต่ผมทำไม่ได้ ผมแพ้ กริฟฟิธส์ เมื่อผมตบดำลงหลุมสำเร็จทำให้ผมรู้สึกว่าผมโล่งใจอย่างที่สุด”
การเดินทางไปแข่งขันในปีรุ่งขึ้น มีคำว่า “แชมป์โลก” เป็นใบเบิกทาง คือสิ่งที่ยอดเยี่ยมอย่างที่สุด ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกต่อไปแล้ว
“คุณกลายเป็นทูตให้กับประเทศของคุณ และการแข่งขันที่คุณเล่น ซึ่ง จิมมี่ ทาร์บัค(นักแสดงชื่อดังของอังกฤษ) เคยบอกกับผมว่า นักแสดงตลกที่ดีที่สุดในโลก ก็ไม่สามารถที่จะเรียกตัวเองว่าเป็นแชมป์โลกได้ ดังนั้นผมจึงเป็นคนที่โชคดีมากที่ทำได้สำเร็จ”
เดนนิส บอกว่าในเกมนั้นเขาได้แต่นั่งมอง สตีฟ แทงอยู่ข้างเดียว จนตัวเขาไม่ได้เฟรมเลยในเซสชั่นแรก
“ผมไม่ได้ทำอะไรผิดพลาดมากนัก แต่ สตีฟ ไม่พลาดเลยที่ผ่านมาเขาได้แชมป์มาก่อน 3 สมัย และมักจะทำให้ครูซิเบิ้ล เธียเตอร์ เป็นเหมือนบ้านของเขาเอง สำหรับผมแล้วกำลังคิดอยู่เหมือนกันว่า BBC ที่ถ่ายทอดสด และแอมบาสซี ที่เป็นสปอนเซอร์หลัก คงกำลังคิดว่า นี่จะเป็นนัดชิงที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์”
“อย่างไรก็ตาม ผมยังมีศรัทธา ในเย็นวันนั้นผมได้คืนมา 1 เฟรม ผมจำได้ว่า ผมชี้นิ้วขึ้นไปที่กลุ่มของแฟนสนุ้กเกอร์ในสนาม จากนั้นมาเล่นกันต่อผมชนะอีก 6 เฟรมติดต่อกัน ทำให้ผมตามหลังวันแรกเหลือ 7-9 ผมตัดสินใจยังไม่ไปนอน ผมต้องการผ่อนคลาย”
เพื่อนสนิทของ เดนนิส คือ เทรเวอร์ อีสต์ หัวหน้าฝ่ายกีฬาของสถานีโทรทัศน์ไอทีวีของอังกฤษ พลาดการเห็น เดนนิส ไล่กด สตีฟ คืน เนื่องจาก เทรเวอร์ ต้องไปชมเกมฟุตบอลของ “ไอ้หัวแกะ” ดาร์บี้ เคาน์ตี้ ที่เขาเป็นผู้อำนวยการของสโมสร แต่เมื่อเสร็จภารกิจ เทรเวอร์ ก็กลับมา
“ผมยังไม่นอน ผมรอ เทรเวอร์ กลับมา เราทั้งสองคนตัดสินใจเปิดแชมเปญ ปรากฎว่า มันแตก!!!! นั่นแหละมันช่วยผมหัวเราะออกมา และผ่อนคลายมากๆ หลังจากบทสนทนายาวเหยียด ผมจึงนอนหลับ”
ในวันสุดท้ายของเกมการแข่งขัน เดนนิส บอกว่า ทุกคนหมดแรงโดยสิ้นเชิง คุณต้องไม่ลืมว่า คุณใช้ชีวิตอยู่ในเชฟฟิลดเป็นเวลานานถึงครึ่งเดือน!!! นี่มัน 15 วันแล้วที่เราต้องอยู่ที่นี่
“ความกดดันมันเพิ่มขึ้น ผมคิดว่าเวลาที่ผมเครียดมากๆ หน้าผมจะออกสีชมพูนิดๆ แต่มันจะเริ่มแดงขึ้น...แดงขึ้น ผมจำได้ว่า วันสุดท้ายหน้าผมแดงมาก ผิดกับ สตีฟ ที่ยิ่งแทงหน้าเขายิ่งขาวขึ้น!!!!”
...........เฟรมตัดสิน เดนนิส บอกว่า หลังจากที่เขาแทงพลาด ทำให้ลูกมาตั้งให้ สตีฟ มีโอกาสแทงหักคอเพื่อชนะ ตอนนั้น
เขาบอกกับตัวเองว่า “มันจบแล้ว โอกาสของเราหมดแล้ว”
“ไม่น่าเชื่อจริงๆ ว่า สตีฟ จะแทงบางขนาดนั้น!!!! เขาควรจะแทงได้หนากว่านี้”
เขาจึงออกไปแทงคว้าชัยชนะ และบอกว่า ท่าที่เขาชี้นิ้วเหมือนพูดกับใครสักคนนั้น ก็คือ เทรเวอร์ นั่นแหละ
“ฉันบอกแล้วไง ว่าฉันจะชนะ” เดนนิส พูดกับเพื่อนรัก
ในค่ำคืนนั้น อะดรีนาลีน หลั่งไหล เดนนิส บอกว่า เขาไม่ได้นอนจนแทบจะถึงเช้า เมื่อกลับถึงบ้านของผมที่แบล็คเบิร์น ภรรยา
และลูกได้ติดป้ายเอาไว้ว่า “ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะพ่อ”
แน่นอนที่สุด “แว่นตา” ของ เดนนิส คือสิ่งที่คลาสสิกอย่างที่สุด โดยปกติขาแว่นจะอยู่ด้านบน แต่ของเขานั้นขาอยู่ด้านล่าง
“ไม้คิวของผมอยู่ที่บ้านของผม ผมจำเป็นที่จะไม่ใช้มันอีก ผมขอเก็บเอาไว้ ส่วนแว่นของผมที่มันกลายเป็นเครื่องหมายการค้านั้น ผมได้มอบให้กับหอเกียรติยศของสนุ้กเกอร์ โดยที่แว่นเป็นแบบนี้ผมต้องขอบคุณเป็นพิเศษกับช่างมืออาชีพ และ แจ๊ค คาร์เนห์ม ผู้บรรยายสนุ้กเกอร์จาก บีบีซี ที่เป็นผู้ร่วมกันออกแบบ”
มีการเปลี่ยนเซ็นเซอร์อ๊อปติก เนื่องจากสายตาของ เดนนิส เอียงมาก แต่มันก็ทำให้ทุกอย่างออกมาได้ผลอย่างเหลือเชื่อที่สุด
“ถ้าไม่มีพวกเขา ผมไม่มีทางได้แชมป์โลก และแน่นอนที่สุดแว่นอันนี้กลายเป็นเครื่องหมายการค้าของผมไปตลอดกาล”
........ตำนาน The 1985 “Black Ball Final” ยังคง เล่าขานต่อไปได้ไม่รู้จบ
___________ บี แหลมสิงห์ _____________
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี