บาเยิร์น มิวนิค

การดวลแข้งนัดชิงชนะเลิศ ฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 2019-20 ที่สุดก็แข่งขันกันได้

หลังจากพิบัติภัย “โควิด-19” ทำให้ทุกหัวระแหงทั่วโลกเกิดปัญหา แต่จนแล้วจนรอด ฟุตบอลสามารถกลับมาเตะกันได้ แม้จะต้องปรับโน่นนั่นนี่กันพอสมควรก็ตาม

นั่นก็เพราะมนุษย์เป็นผู้ออกกฎ ดังนั้นกฎจึงเปลี่ยนได้ทุกเวลาโดยมนุษย์นั่นแหล่ะ

ตามกำหนดเดิมคือ อตาเติร์ก สเตเดี้ยม นครอิสตันบูล ประเทศตุรกี แต่ด้วยการระบาดของไวรัสร้าย ทำให้มาจัดตั้งแต่รอบ 8 ทีมสุดท้าย หรือที่เรียกในปีนี้ว่า “ไฟนอลส์ เอ้กท์” ที่ประเทศโปรตุเกส ทำให้นัดชิงจะแข่งขันที่ เอสตาดิโอ ดาลุซ ในกรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกส

“เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค แชมป์ 5 สมัยจากเยอรมนี กับ “หอคอยฝังเพชร” ปารีส แซงต์-แชร์กแมง จากฝรั่งเศสที่เข้าชิงเป็นครั้งแรก

การทำงานของสองทีมนี้ต่างกันชัดเจนก็คือ เปแอสเชมีเงินเป็นรากฐานชั้นดี ขณะที่ บาเยิร์นฯ ใช้การบริหารเป็นรากฐานสำคัญสุดๆ

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เหมือนกันก็คือ พวกเขาสามารถจะดึงนักบอลหลายคนเข้าทีมอย่างง่ายดาย นั่นก็มาจบลงที่เรื่องของ “สตางค์มันนี่” นั่นแหละ

แล้วใครล่ะจะเข้าวิน......สูสีเหลือประมาณจริงๆครับ!!!!

ผ่าเส้นทางของเปแอสเช

โธมัส ทูเคิล ฟันฝ่าอุปสรรคที่ต้องปกครองนักบอลที่ค่าตัวแพงและชื่อชั้นดูดีกว่าตัวของเขา มีปัญหาแม้กระทั่งการเปลี่ยนตัวนักเตะอย่าง คีลิยัน เอ็มบัปเป้ รวมถึงพฤติกรรมสายปาร์ตี้ของเนย์มาร์ จูเนียร์

ด้วยจำนวนเม็ดเงินมหาศาลที่ทีมทุ่มซื้อนักเตะเอาไว้ แม้จะปวดหัวในการควบคุมความประพฤติ และนิสัยซูเปอร์สตาร์ สุดท้ายเขาเข็นทีมเข้าสู่นัดชิงได้สำเร็จ โดยหลายคนก่อนหน้านี้ทำไม่ได้ ทั้ง คาร์โล อันเชล็อตติ,โลรองต์ บลองก์ และอูไน อเมรี่

ด้วยนักบอลที่มีอยู่ มีสเปกเดียวกัน และเข้าสู่ระบบ 4-3-3 ที่ถนัดของ ทูเคิล แบบไม่ยากเย็น ปีนี้พวกเขาทุ่มเงินไปในตลาดซื้อทั้ง อาบู ดิอัลโล่ 32 ล้านยูโร, อิดริสซ่า กาน่า เกย์ 30 ล้านยูโร, ปาโบล ซาราเบีย 19.5 ล้านยูโร และเคย์ลอร์ นาบาส อีก 13 ล้านยูโรแต่ที่น่าสนใจก็คือตัวที่ไม่เสียเงินซื้ออย่าง อันเดร์ เอร์ราร่า กับตัวยืมทั้ง เมาโร่ อิการ์ดี้ และเซร์คิโอ ริโก้ ทำงานได้ดีมาก

เจ้าของทีมคือ นาสเซอร์ บิน กามิน อัล-คาไลฟี่ ซึ่งเป็นมหาเศรษฐีชาวกาตาร์ วัย 46 ปี เจ้าของกาตาร์ สปอร์ต อินเวสต์เมนท์สและบีอิน สปอร์ตส สถานีโทรทัศน์เจ้าของลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดชื่อดังของโลก พร้อมกับทำสถิติโลกเอาไว้ด้วยการซื้อ เนย์มาร์ จูเนียร์ แกนรุกทีมชาติบราซิล จากบาร์เซโลน่า เมื่อปี 2017 ด้วยค่าตัวถึง 222 ล้านยูโร พร้อมกับทุ่มเงินซื้อนักเตะมาร่วมทีมด้วยจำนวนเงินมหาศาลกว่า 1,000 ล้านปอนด์

ทีมรอดพ้นการลงโทษแบบรุนแรงจากกฎควบคุมการเงิน (ไฟแนนเชี่ยล แฟร์ เพลย์) เพราะ “เปแอสเช” ถูกมองว่า แอบใส่รายได้จากสปอนเซอร์เยอะเกินความเป็นจริง เพื่อหลอก ยูฟ่า

ก่อนจะรอดมาได้ และใช้เวลาหลังควันโขมงในสองซีซั่นหลังเข้าชิงสำเร็จ

ปารีส แซงต์-แชร์กแมง

ผ่าเส้นทางของบาเยิร์นฯ

บาเยิร์น มิวนิค เสือร้ายแห่งบาวาเรีย ยังไร้เทียมทานในวงการลูกหนังเมืองเบียร์ เป็นแชมป์บอลลีกสูงสุดแดนอินทรีเหล็กไปแล้ว 30 สมัย

นับตั้งแต่เปลี่ยนมาเป็นบุนเดสลีกา เมื่อปี 1963 สโมสรฟุตบอลบาเยิร์น ได้รับตำแหน่งแชมป์ 29 จาก 57 ซีซั่นเลยทีเดียว!!!!

ปัจจัยแห่งความสำเร็จ ไม่ได้เกิดขึ้นจากการ “ทุ่มเงินซื้อ”อย่างที่หลายบางคนมองในมุมนี้ที่พวกเขาเป็นทีม “จอมดูด” แต่ถ้าหากมองจากภาพรวมทั้งหมด

การบริหารจัดการ และความมีเสน่ห์ในตัวของมันเองของทีมนี้เมืองนี้ คือกุญแจแห่งความสำเร็จ ที่พวกเขาสร้างเอาไว้ไม่ใช่มีแค่ดอกเดียว!!!

การมีอำนาจตัดสินใจเรื่องในสนาม และกล้าที่จะเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว คือเครดิตในการประสบความสำเร็จปีนี้ เป็นผลงานก่อนที่อูลี่ เฮอร์เนส จะเกษียณตัวเอง

นิโก้ โควัช ทำทีมหัวตก ผ่านไป 10 เกม และหล่นไปอยู่ที่ 4 พร้อมกับกล้าเสี่ยงให้ ฮันซี่ ฟลิค ขึ้นมาถือบังเหียนและหล่นไปถึงอันดับ 7 ในแมทช์เดย์ที่ 14 ผ่านไป

รากฐานที่สำคัญที่ลืมไม่ได้กับชัยชนะของบาเยิร์นฯ ก็คือ เรื่องนอกสนามของพวกเขาดีมาก ยังผลให้เกมในสนามดี และฮันซี่ ฟลิคก็ทำทีมได้อย่างสุดยอด ทำสถิติลีกระดับท็อปของยุโรปเมื่อลงเตะ29 เกม ชนะถึง 28 เสมอแค่นัดเดียวเท่านั้น และยิงได้ถึง 94 ประตู เฉลี่ยทำได้ถึงนัดละ 3.4 ลูก และเป็นทีมที่ 4 ในประวัติศาสตร์ถ้วยบิ๊กเอียร์ที่ยิงได้ถึง 40 ประตูในเส้นทางสู่นัดชิงฯ โดยซัดไปแล้ว 42 ลูก

โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้, ดาวิด อลาบา และอัลฟองโซ่ เดวิส 3 นักเตะที่เล่นดีต่อเนื่องในปีนี้ ของ บาเยิร์นฯ

ความพร้อมของเปแอสเช

เปแอสเช เกมนี้น่าจะยังไม่มี เคย์ลอร์ นายด่านมือหนึ่งที่บาดเจ็บ ทำให้ต้องใช้บริการของมือสองอย่าง เซร์คิโอ้ ริโก้ ลงเฝ้าเสาต่อไป ส่วนตำแหน่งอื่นๆ ถือว่าไม่มีปัญหาอะไรพร้อมเล่นได้ทั้งหมด คาดว่า มาร์โก แวร์รัตติ น่าจะฟิตเต็มถึงกลับมายืนตัวจริงในแดนกลาร่วมกับ มาร์ควินญอส และอันเดร์ เอร์เรร่า ทำให้เลอันโดร ปาเรเดสต้องนั่งสำรอง ในส่วนของแดนหน้าไม่น่าจะปรับอะไรใช้ คิลิยันเอ็มบาปเป้, เนย์มาร์ และอังเคล ดิ มาเรีย เป็นสามประสานเหมือนเดิม

11 ตัวจริงที่คาดว่าจะลงสนาม : เซร์คิโอ ริโก้-ธีโล่ เคห์เรอร์, ติอาโก้ ซิลวา, เพรสเนล คิมเพมเบ้, ฆวน เบร์นาต-เลอันโดรปาเรเดส, มาร์กินญอส, อันเดร เอร์เรร่า-อังเคล ดิ มาเรีย, คีลิยัน เอ็มบั๊ปเป้ และ เนย์มาร์

ความพร้อมของบาเยิร์นฯ

ทางฝั่งของ “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค รอเช็คความฟิตของ เยโรม บัวเต็ง แนวรับประสบการณ์สูงที่บาดเจ็บจากเกมที่ผ่านมาจนถูกเปลี่ยนตัวออกในช่วงพักครึ่ง หากเล่นไม่ได้ นิคลาส ซูเล่อจะได้เล่นแทน ส่วนในรายของ เบนฌาแมง ปาวาร์ ที่หายเจ็บฟิตพร้อมกลับมาแล้วน่าจะนั่งสำรองไปก่อน

เชื่อว่า ฮันซี่ ฟลิค ไม่น่าจะปรับอะไรเพราะการเอา โยชัว คิมมิช ไปยืนแบ๊กขวาและให้ ติอาโก้ อัลคันทาร่า ลงคุมแดนกลางนั้นลงตัวดีอยู่แล้ว นอกนั้นไม่มีปัญหาอะไร แนวรุกยังใช้ อีวานเปริซิซ เล่นกับ โธมัส มูลเลอร์ และแซร์ก นาบรี้ โดยมี โรเบิร์ตเลวานดอฟสกี้ ยืนหน้าเป้าล่าตาข่าย

11 ตัวจริงที่คาดว่าจะลงสนาม : มานูเอล นอยเออร์,อัลฟอนโซ่ เดวีส, ดาวิด อลาบา, เยโรม บัวเต็ง, โยชัว คิมมิช,ติอาโก้ อัลคันทาร่า, เลออน โกเร็ตซ์ก้า, อีวาน เปริซิซ, โธมัสมูลเลอร์, แซร์ก นาบรี้ และโรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้

เนย์มาร์ จูเนียร์ กับ คีลิยัน เอ็มบัปเป้ มหันตภัยในแนวรุกของ เปแอสเช

สถิติแข้งน้ำหอมชิงดำอินทรีเหล็ก

แซงต์-แชร์กแมง คือทีมที่ 5 ของฝรั่งเศส ที่ได้เข้าชิง และเป็นลำดับที่ 7 โดยมี โอลิมปิก มาร์กเซย เป็นทีมเดียวที่ครองแชมป์ได้สำเร็จ เมื่อปี 1993 ด้วยการชนะ เอซี มิลาน 1-0 จากลูกโขกของ บาซิล โบลี่ ในยุคทองของนักลงทุน “แบร์กนาร์ ตาปี” และกุนซือขรัวเฒ่า “เรย์มอง โกธาลส์”

ที่เหลือนั้นแต่ละทีมที่เข้าชิงต้องเป็นฝ่ายปราชัยทั้งหมด ประกอบด้วย สต๊าด เดอ แรงส์ เข้าชิง 2 ครั้ง ปี 1956 และ 1959 แต่พ่ายให้กับ เรอัล มาดริด ทั้ง 2 ครา, แซงต์ เอเตียง แพ้ บาเยิร์น มิวนิค ปี 1976, มาร์กเซย แพ้ เรดสตาร์ เบลเกรด ปี 1991 และ โมนาโก แพ้ ปอร์โต้ ปี 2004

บาเยิร์น แชมป์ยุโรป5 สมัย ปี 1974, 1975, 1976, 2001 และ 2013 เข้าไปลุ้นแชมป์สมัยที่ 6 และเป็นการเข้าชิงแชมป์เป็นสมัยที่ 11 ของสโมสร โดยครั้งสุดท้ายที่เข้าชิงคือปี 2013 ที่พวกเขาเอาชนะ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ไปได้ 2-1 ที่สนามนิว เวมบลีย์

ถือเป็นครั้งที่ 2 ในประวัติศาสตร์ของรายการนี้ที่ทีมจากเยอรมนี กับ ฝรั่งเศส ได้ชิงดำกัน โดยคู่แรกและคู่เดียวก่อนหน้านี้ เกิดขึ้นเมื่อปี 1976 บาเยิร์น มิวนิค เอาชนะ แซงต์เอเตียง 1-0 ในการเตะที่แฮมป์เดน พาร์ค เมืองกลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์

Head to Head

สถิติการพบกันของทั้งสองทีม คู่นี้เจอกันมา 8 ครั้งและเป็นรายการนี้ทั้งหมด ไม่เคยจบลงด้วยผลเสมอเลย โดย เปแอสเชมีสถิติที่ดีกว่าชนะได้ 5 ส่วนบาเยิร์น มิวนิค ชนะ 3 ครั้ง โดย 2 เกมล่าสุดในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่มฤดูกาล 2017-2018 ผลัดกันชนะบ้านใครบ้านมัน เกมแรก ปารีสฯ ถล่มก่อน 3-0 ส่วนเกมสอง บาเยิร์นฯ เอาคืนในบ้านได้ 3-1

อัตราต่อรอง : บาเยิร์น ต่อ เสมอควบครึ่ง

“บีแหลมสิงห์” ฟันธง : วัดใจพี่เสือ

บี แหลมสิงห์