“สิงห์บลูส์” เชลซี ทีมดังแห่งมหานครลอนดอน เสริมทัพรายที่ 3 ของฤดูกาลนี้ หลังจากคว้าตัว เบน ชิลเวลล์ แบ๊กซ้ายทีมชาติอังกฤษ จาก “สุนัขจิ้งจอก” เลสเตอร์ ซิตี้ ด้วยค่าตัว 45 ล้านปอนด์ พร้อมเซ็นสัญญา 5 ปี รับค่าเหนื่อยสัปดาห์ละ 190,000 ปอนด์
แบ๊กซ้ายวัย 23 ปี ซึ่งครอบครัวย้ายจากนิวซีแลนด์มาตั้งรกรากที่อังกฤษ ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมมาตลอด ซึ่งในช่วงเปิดตลาดซื้อขายนักเตะซัมเมอร์นี้ เขาตกเป็นข่าวเชื่อมโยงกับ เชลซี อย่างต่อเนื่อง กระทั่งทุกอย่างลงตัว และจะมีสัญญาอยู่ที่เดอะ บริดจ์ ไปจนถึงปี 2025
“นี่คือช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้น ผมกำลังตั้งตารอที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมผู้เล่นหนุ่มและโค้ชไฟแรงอย่าง แฟรงค์ แลมพาร์ดผมแทบจะอดทนรอไม่ไหวแล้วที่จะได้เริ่มต้นลงเล่นต่อหน้าแฟนบอลในเดอะบริดจ์” ชิลเวลล์ กล่าว
ชิลเวลล์ เกิดที่มิลตัน คีย์นส์ เป็นผลผลิตจากอะคาเดมี่ของเลสเตอร์ โดยอยู่กับทีมเยาวชนตั้งแต่ปี 2009 ด้วยวัย 13 ปี ก่อนจะก้าวขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่ของ เลสเตอร์ ซิตี้ เมื่อปี 2015 ลงสนามให้กับ “จิ้งจอกสีน้ำเงิน” ทั้งหมด 123 นัด ทำได้ 4 ประตู ติดทีมชาติอังกฤษ ไปแล้ว 11 นัด
การเสริมทัพในครั้งนี้ของ แฟรงค์ แลมพาร์ด จูเนียร์ กุนซือเชลซี ต่อจาก ฮาคิม ซีเย็ค ปีกทีมชาติโมร็อกโก จากอาแจ๊กซ์อัมส์เตอร์ดัม ราคา 36 ล้านปอนด์ และติโม แวร์เนอร์ หัวหอกทีมชาติเยอรมนี จาก แอร์เบ ไลป์ซิก 47.7 ล้านปอนด์ ทำให้เชลซีใช้เงินในซัมเมอร์นี้ไปแล้วกว่า 128 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 5,200 ล้านบาท
l เผยยุคเสี่ยหมีซื้อกระจุยกว่า 7 หมื่นล้าน
ข้อมูลโดยทีมข่าวกีฬาแนวหน้า ยืนยันสถิติการซื้อตัวของเชลซี ในยุคของ “เสี่ยหมี” โรมัน อบราโมวิช อัครมหาเศรษฐีชาวรัสเซีย ที่ใช้เงินซื้อนักบอลไปแล้วทั้งสิ้น 1,585 ล้านปอนด์ หรือถ้าหากเทียบเป็นบาททั้งในยุคก่อนหน้านี้ที่เงินปอนด์แข็ง คาดว่าจะทะลุไปเกินกว่า 70,000 ล้านบาท ในการซื้อตัวผู้เล่น และยังมีข่าวว่ากำลังจะซื้อตัว ไค ฮาแวร์ต ดาวโรจน์ทีมชาติเยอรมนี จาก เลเวอร์คูเซ่น ในราคาที่ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านปอนด์ มาเสริมอีกคนหนึ่งด้วย
ทำให้นับตั้งแต่เข้ามาบริหารงานที่เดอะ บริดจ์ ปี 2004 ปรากฏว่า อบราโมวิช ขาดทุนทุกปี มีเพียงแค่ 3 ฤดูกาลเท่านั้นที่เข้าสู่ตลาดนักบอลแล้ว หักลบการซื้อกับการขาย ผลออกเป็นบวกประกอบด้วย ซีซั่น 2008-09 ซื้อ 24,600,000 ปอนด์ขาย 34,900,000 ปอนด์ กำไร 10,300,000 ปอนด์, ซีซั่น 2014-15 ซื้อ 108,600,000 ปอนด์ ขาย 112,785,000 ปอนด์ กำไร 4,185,000 ปอนด์ และซีซั่น 2019-20 ซื้อ 41,080,000 ปอนด์ ขาย : 159,630,000 ปอนด์ กำไร 118,550,000 ปอนด์
ซีซั่นล่าสุด เชลซี ถูกลงโทษจาก สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติหรือ ฟีฟ่า ห้ามซื้อนักเตะช่วงตลาดซัมเมอร์ 2019 และตลาดหน้าหนาว2020 หลังทำผิดกฎการซื้อขายในตลาดนักเตะด้วยการคว้าตัวนักเตะมาร่วมทีมทั้งที่แข้งเหล่านั้นอายุไม่ถึงเกณฑ์ ซึ่งก็คือ แบร์กตรองด์ตราโอเร่ ปีกทีมชาติบูร์กินาฟาโซ ที่ปล่อยตัวให้ โอลิมปิก ลียงไปเมื่อปี 2017 ซึ่งจากการสืบสวน พบว่าการเซ็นสัญญากับ ตราโอเร่เกิดขึ้นตอนนักบอลอายุ 16 ปี ถือว่าไม่ตรงตามเกณฑ์ที่กำหนดทำให้การกลับมาทุ่มเงินอีกรอบอาจจะมาจากการอั้นไม่เสริมทัพจาก2 รอบ ที่ถูกตัดสิทธิ์ก็เป็นได้
l เผยเงินลงทุนโค้ชเสียเปล่า 4 พันล้าน
ในเรื่องการใช้เงินของ อบราโมวิช ยังสร้างความประหลาดใจให้กับวงการฟุตบอล เมื่อเขาเสียเงินค่าชดเชยในการปลดผู้จัดการทีมเป็นว่าเล่นไปเกือบ 100 ล้านปอนด์ หรือกว่า 4,000 ล้านบาท
“ทิงเคอร์แมน” เคลาดิโอ รานิเอรี คือกุนซือคนแรก ที่ถูกปลดในยุคของ อบราโมวิช ในเดือนพฤษภาคมปี 2004 ด้วยเงิน6 ล้านปอนด์ ต่อด้วย โชเซ มูรินโญ่ และสตาฟฟ์ของเขาที่ถูกปลดในเดือนธันวาคม ปี 2007 อีก 23.1 ล้านปอนด์ เฉพาะ มูรินโญ่คนเดียวรับเพียวๆ 18 ล้านปอนด์ จากนั้นเป็น อัฟราม แกรนท์ในเดือนพฤษภาคม ปี 2008 อีก 5.5 ล้านปอนด์
มาในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2009 จ่ายให้ หลุยส์ เฟลิเป สโคลารี12.6 ล้านปอนด์ ต่อด้วย คาร์โล อันเชล็อตติ 6 ล้านปอนด์ในเดือนพฤษภาคม ปี 2011, อันเดร วิลลาช-โบอาส 12 ล้านปอนด์ในเดือนมีนาคม ปี 2012, โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ ในเดือนพฤศจิกายนปี 2012 จำนวน 10.7 ล้านปอนด์
จากนั้น มูรินโญ่ มาทำงานรอบ 2 โดนไล่ออกอีกครั้ง ได้รับเงินชดเชยไปอีกทีในเดือนธันวาคม ปี 2015 ถึง 9.5 ล้านปอนด์, อันโตนิโอ คอนเต ในช่วงซัมเมอร์ ปี 2018 จำนวน 9 ล้านปอนด์ยกเว้นกรณีของ เมาริซิโอ ซาร์รี่ ที่ชิงลาออกไปก่อน ทำให้ เชลซีได้เงินชดเชยจากการเสีย ซาร์รี่ จาก ยูเวนตุส 5 ล้านปอนด์แต่การไปดึง แฟรงค์ แลมพาร์ด จูเนียร์ มานั่งกุนซือก็ต้องจ่ายให้“ไอ้หัวแกะ” ดาร์บี้ เคาน์ตี้ 4 ล้านปอนด์ด้วยกัน
ซีซั่น 2004-05
ซื้อ : 94,350,000 ปอนด์
ขาย : 2,200,000 ปอนด์
รวม : ติดลบ 92,150,000 ปอนด์
ซีซั่น : 2005-06
ซื้อ : 58,400,000 ปอนด์
ขาย : 22,600,000 ปอนด์
รวม : ติดลบ 35,800,000 ปอนด์
ซีซั่น : 2006-07
ซื้อ : 56,600,000 ปอนด์
ขาย : 31,000,000 ปอนด์
รวม : ติดลบ 25,800,000 ปอนด์
ซีซั่น : 2007-08
ซื้อ : 43,700,000 ปอนด์
ขาย : 25,000,000 ปอนด์
รวม : ติดลบ 18,700,000 ปอนด์
ซีซั่น : 2008-09
ซื้อ : 24,600,000 ปอนด์
ขาย : 34,900,000 ปอนด์
รวม : กำไร 10,300,000 ปอนด์
ซีซั่น : 2009-10
ซื้อ : 23,000,000 ปอนด์
ขาย : 10,850,000 ปอนด์
รวม : ติดลบ 12,150,000 ปอนด์
ซีซั่น : 2010-11
ซื้อ : 101,300,000 ปอนด์
ขาย : 13,700,000 ปอนด์
รวม : ติดลบ 87,600,000 ปอนด์
ซีซั่น : 2011-12
ซื้อ : 81,200,000 ปอนด์
ขาย : 24,850,000 ปอนด์
รวม : ติดลบ 56,350,000 ปอนด์
ซีซั่น : 2012-13
ซื้อ : 86,150,000 ปอนด์
ขาย : 20,000,000 ปอนด์
รวม : ติดลบ 66,150,000 ปอนด์
ซีซั่น : 2013-14
ซื้อ : 108,400,000 ปอนด์
ขาย : 56,100,000 ปอนด์
รวม : ติดลบ 52,300,000 ปอนด์
ซีซั่น : 2014-15
ซื้อ : 108,600,000 ปอนด์
ขาย : 112,785,000 ปอนด์
รวม : กำไร 4,185,000 ปอนด์
ซีซั่น : 2015-16
ซื้อ : 67,950,000 ปอนด์
ขาย : 60,200,000 ปอนด์
รวม : ติดลบ 7,750,000 ปอนด์
ซีซั่น : 2016-17
ซื้อ : 118,200,000 ปอนด์
ขาย : 100,400,000 ปอนด์
รวม : ติดลบ 17,800,000 ปอนด์
ซีซั่น : 2017-18
ซื้อ : 252,300,000 ปอนด์
ขาย : 176,800,000 ปอนด์
รวม : ติดลบ 75,500,000 ปอนด์
ซีซั่น : 2018-19
ซื้อ : 190,270,000 ปอนด์
ขาย : 69,080,000 ปอนด์
รวม : ติดลบ 121,190,000 ปอนด์
ซีซั่น : 2019-20
ซื้อ : 41,080,000 ปอนด์
ขาย : 159,630,000 ปอนด์
รวม : กำไร 118,550,000 ปอนด์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี