หมายเลข 6 คนใหม่ในถิ่นแอนฟิลด์ “ติอาโก้” หรือ “ธิอาโก้” อัลคันตาร่า
แฟนบอล “หงส์แดง” รอคอยกันมานาน “หลายเดือน” กับ“ดีลใหญ่” ที่ไม่เกิดขึ้นมาเลยในรอบกว่า 1 ปีที่ผ่านมา
หลังจากชัยชนะที่มาดริด กับแชมป์ยุโรป สมัยที่ 6 กลางปี 2019 ไม่มีชื่อไหนที่ใหญ่พอสำหรับการเสริมทัพให้สโมสรแห่งนี้เลย
อาเดรียน มาเป็นประตูสำรอง, สองเด็กน้อยอย่าง เซปป์ ฟาน เดน เบิร์ก กับ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์, ประตูลายครามอย่าง แอนดี้โลเนอร์แกน ในช่วงซัมเมอร์ ก่อนจะคว้า ทาคูมิ มินามิโนะ มาในช่วงวินเตอร์ รวมแล้วใช้เงินไปเพียง 8.55 ล้านปอนด์
หลังจากการเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก ในช่วงปีแห่งการวุ่นวายกับโรคที่ระบาดไปทั่วโลกอย่าง โควิด-19 การเติมคนแรกหลังจากเป็นแชมป์ก็คือ คอนสแตนตินอส ซิมิคาส แบ๊กซ้ายจากกรีซ
แต่ละคนที่ซื้อมาในรอบกว่า 1 ปี เพียงแต่เข้ามาเพื่อเสริมทัพทีมชุดใหญ่ และทีมเยาวชนแห่งอนาคต
อย่างไรก็ตาม ไม่มีคนไหนที่มาเพื่อ “เล่นชุดตัวจริง” แม้แต่รายเดียว
ไม่แปลกที่ดีลของ ติอาโก้ จึงสร้างความตื่นเต้นให้กับเหล่าเดอะ ค็อป เป็นอย่างมาก เพราะนี่คือ นักบอล “เบอร์ใหญ่” นับจากการซื้อ อลิสซอน เบ๊คเกอร์ เมื่อ 19 กรกฎาคม 2018
เท่ากับว่าเป็น “บิ๊กเนม” แรกในรอบกว่า 2 ปี !!!!!
เขาได้มาใส่ “หมายเลข 6” ที่ชื่นชอบ และเข้ามาได้จังหวะ เพราะเจ้าขอเบอร์เพิ่งจะย้ายทีมไป นั่นคือ เดยัน ลอฟเรน
ลิเวอร์พูล ในยุคพรีเมียร์ลีกมีนักบอลหมายเลขนี้มาแล้ว 7 คน นั่นคือ ปี 1993 ดอน ฮัทชิสัน, 1994-1998 ฟิล บ๊าบบ์, 1999 ว่าง, 2000-2004 มาร์คุส บับเบิ้ล, 2004-2008 ยอห์น อาร์เน่ รีเซ่, 2008 ว่าง, 2010-2012 ฟาบิโอ ออเรลิโอ, 2012 ว่าง, 2013 หลุยส์ อัลเบร์โต้ และ 2014 จนถึงปี 2020 เดยัน ลอฟเรน
.........ความตื่นเต้นเกิดขึ้น และใกล้เคียงสุดๆ คือ 7 กรกฎาคม ที่ผ่านมา เมื่อนักบอลที่มีชื่อเสียงระดับไฮ แคลเซียม และ ไฮ ควอลิตี้ จะมาร่วมทีม
ธิอาโก้ หรือ ติอาโก้ แต่ไม่ใช่ เทียโก้ หรือ เตียโก้(เพราะไม่ได้เป็นอะไรกับเธียร์รี่ และซิโก้) อัลคันตาร่า ดูแล้วมันหอมหวานดี
เรื่องของเรื่องก็คือ นักบอลที่ประสบความสำเร็จมั่งคั่งแบบนี้ ชื่อมันชวนให้คิดให้ขนลุกเกรียวเป็นกรณีพิเศษอยู่แล้ว
ติอาโก้ กับ พ่อของเขา ในวัยเด็ก
ตำแหน่งของเขาน่าสนใจ หลังจากหลุดสำรองไปช่วงหนึ่งในยุคของ ฮันซี่ ฟลิก หลังจากนั้นก็ได้ลงเล่นตลอด ถ้าไม่เจ็บก็ถือว่าหลุดยาก
ติอาโก้ คือ บุตรชายมายซัน ของ มาซินโญ่ กองกลางจอมเทคนิคชุดแชมป์โลก 1994 ของทีมชาติบราซิล ลีลาการเล่นระหว่างพ่อลูกคู่นี้เหมือนกันคือ เสียบอลยาก และจ่ายบอลแม่น ซึ่งเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของมิดฟิลด์
เพียงแต่ คุณพ่อคือ Utility Midfielder หรือกองกลางสารพัดประโยชน์ ยืนตรงไหนก็ได้ ในยุคของพ่อ เขาทำให้ ดุงก้า กับ เมาโร่ ซิลวา เล่นง่าย เชื่อมได้ยังกับช่าง
มาซินโญ่ โด่งดังกับ “ท่าไกวเปล” ที่เขาไปทำท่านี้ร่วมกับ เบเบโต้ หลังจากพังประตู เนเธอร์แลนด์ ได้ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย โดยมี โรมาริโอ มาร่วมแจกอีกคน
ในทางเดียวกัน ติอาโก้ ก็ละม้ายกับพ่อ แม้จะไม่สารพัดประโยชน์เหมือนคุณพ่อ แต่ก็เชื่อมได้หวานเจี๊ยบพอกัน
ภาษาปัจจุบันก็คือ.....เชื่อมเก่ง
ชื่อเต็มของเขาคือ ติอาโก้ อัลคันตาร่า เดอ นาสซิเมนโต้ (Thiago Alcântara do Nascimento)
เกิด 11 เมษายน 1991 ที่ซานปิเอโตร แวร์โนติโก้ย่านเลชเช่ ประเทศอิตาลี ตอนนั้น มาซินโญ่ พ่อของเขาเล่นให้กับ เลชเช่ ในอิตาลี
เมื่อตอนอายุ 3 ขวบ พ่อได้แชมป์โลก กับ บราซิล ปี 1994ที่สหรัฐอเมริกา
เริ่มเล่นฟุตบอลกับ ฟลาเมงโก้ เมื่ออายุไม่เต็ม 5 ขวบ ตอนนั้นพ่อของเขากลับไปเล่นในบราซิล กับ พัลไมรัส
หลังจากพ่อได้งานใหม่ไปอยู่กับ บาเลนเซีย ปี 1994 และปักหลักอยู่สเปนยาวๆ พ่อกลับมารับ เขาไปแดนกระทิงในปี 1996 แล้วไปฝึกฟุตบอลกับ อูเรก้า ย่านตะวันตกเฉียงเหนือของสเปน ต่อด้วย เคลเม่ เอฟซี ที่เอลเช่
พ่อเล่นให้กับ บาเลนเซีย 2 ปี ต่อด้วย เซลต้า บีโก้ อีก 4 ปี และเอลเช่ อีกหนึ่งปีด้วยกัน
เมื่อพ่อหมดสัญญากับ เอลเช่ ปี 2001 และกลับไปเล่นที่บราซิลอีกครั้ง กับ เอสปอร์เต้ วิตอรี่ ทำให้ ติอาโก้ ได้กลับไปอยู่กับ ฟลาเมงโก้ อีกครั้ง
อยู่ได้ 4 ปี เขาได้เดินทางมาอยู่ที่ลา มาเซีย กับ บาร์เซโลน่าปี 2005 ด้วยวัย 14 ปี และได้เป็นนักบอลอาชีพ
AS รายงานว่า เมื่อปี 2005 มาซินโญ่ ต้องการที่จะทำงานเป็นแมวมองอยู่ที่กาลิเซีย ที่ที่เขาชอบมากที่สุดในช่วงที่ ติอาโก้ ไปเล่นบอลสมัยยังเด็กกับ อูเรก้า
เขาได้เสนอ ติอาโก้ ในวัย 14 ปี ไปให้กับทั้ง เรอัล มาดริด และ บาร์เซโลน่า คำตอบออกมาคือ “เยส” กับ “โน”
เรอัล มาดริด ตอบว่า “โน”
บาร์เซโลน่า ตอบว่า “เยส”
เหตุผลก็คือ ฟราน มาริด้า เพิ่งตามรอยของ เชส ฟาเบรกาสไปยัง อาร์เซนอล ทำให้ บาร์ซ่า ทบทวนใหม่ และจึงเลือกเด็กหนุ่มที่พ่อมานำเสนอเข้าทีม
ถ้าหากว่าวันนั้น มาริด้า ไม่ย้ายไปอาร์เซนอล ล่ะ????
อืมมมมมม..........ทุกอย่างในโลกนี้มี “ที่มา” และ “ช่องว่าง”อยู่เสมอ
กว่าจะได้มาอยู่ที่ ลา มาเซีย บาร์ซ่า ดูเหมือนชีวิตรุงรังดีแท้จนหลายคนเรียกว่า “Mr. Worldwide”.......
จากนั้น 17 พฤษภาคม 2009 ประเดิมชุดใหญ่ให้กับบาร์เซโลน่า ด้วยวัย 18 ปี
10 สิงหาคม 2011 เขาเลือกเล่นให้ทีมชาติสเปน และติดทีมชาตินัดแรกพบกับ อิตาลี
18 มิถุนายน 2013 หลังจากได้แชมป์ยุโรป รุ่น 17 ปี กับ 23 ปี มาอย่างละสมัย ติอาโก้ ตะบันแฮททริกนัดชิงรุ่นยู-23 ได้สำเร็จ นำทัพ สเปน ยำ อิตาลี 4-2
เขาเล่นในตำแหน่ง “หน้าต่ำ” หรือ “กลางรุก” อย่างเต็มรูปแบบ ทีมชุดนั้นมี ดาบิด เด เคอา, มาร์ค บราทร้า, อิสโก้, โกเก้, อัลบาโร่ โมราต้า และโรดรีโก้ กองหน้าตัวใหม่ของลีดส์ เพื่อนสนิทของ ติอาโก้ อยู่ในทีมชุดนั้น
14 กรกฎาคม 2013 ย้ายมาร่วมทัพ บาเยิร์น มิวนิค ค่าตัว 25 ล้านยูโร
ถูกคาดหมายว่าจะเป็นทายาทของ ชาบี เอร์นานเดซ แต่ตัดสินใจอำลาทีมมาอยู่กับบาเยิร์นตาม เป๊ป กวาร์ดิโอลา
ได้แชมป์กับ บาร์ซ่า คือ ลาลีกา 2 สมัย, โคปา เดอ เรย์ 1 สมัย, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 1 สมัย, สโมสรโลก 1 สมัย และซูเปอร์คัพ 1 สมัย
ได้แชมป์กับ บาเยิร์น คือ บุนเดสลีกา 7 สมัย, เดเอฟเบ โพคาล4 สมัย, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 1 สมัย และ สโมสรโลก 1 สมัย
17 กันยายน 2020 ย้ายมาร่วมทัพ ลิเวอร์พูล ค่าตัว20 ล้านปอนด์ และแอด-ออนส์ 5 ล้านปอนด์
.......ด้วยสไตล์(และนิสัย) นักบอลในลักษณะของ ติอาโก้ สามารถยืน “กลางคู่” ทั้งในระบบ 4-2-3-1 หรือ 4-3-3 และสามารถเล่นแบบ “กลางสาม” โดยยืนเป็น บ็อกซ์ ทู บ็อกซ์ ด้านซ้ายคือตำแหน่งที่ดีที่สุด
มาซินโญ่ พ่อของ ติอาโก้ กับการฉลองท่าดีใจร่วมกับ เบเบโต้ และโรมาริโอ ในบอลโลก 1994
เขาเล่นร่วมกับ โยชัว คิมมิช ซึ่งเป็น “ฟิลิป ลาห์ม แห่ง ค.ศ.นี้” รวมถึง เลออน กอร์เร็ตซ์ก้า ได้อย่างลงตัวมากๆ
เซนต์บอลทันกัน น่าสนใจว่า ทั้ง 3 คนนี้ไม่ได้เล่นอะไรหวือหวามากนัก แต่เน้นซึ่งประสิทธิภาพ
ซึ่งเหมือนกับ 3 กลางหงส์
ว่ากันตามเชิง ติอาโก้ เองนี่แหละ ที่ลีลาเยอะสุด แต่มาในยุคของ ฟลิก น่าจะสั่งห้าม ทำให้แกหายห้าวไปพอสมควร
เมื่อเห็นแบบนี้ ไม่ต้องถึงกับหยิบกล้องมาส่องให้เสียเวลา จุดนี้มันตรงกับตำแหน่งของ จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม แบบเต็มข้อ
ตำแหน่งนี้ ไวจ์นัลดุม เล่นเอาไว้ด้วยการวิ่งสไตล์เป็นตัวแอล “L” คือพุ่งตรงขึ้นไป แล้วจังหวะถอยมาคือมา “ซ้อนหลัง” ให้กับ ฟาบินโญ่
ขณะที่ไลน์การวิ่งของ ติอาโก้ ไม่ได้เป็นแบบนั้น
เขาจะวิ่งตรงๆ ในไลน์ แล้วมักจะให้บอลแล้วเบรกตัวเองอยู่แถวๆ ไม่เกินเส้น 25-30 ของฝั่งตรงข้าม
ขึ้นไม่ค่อยสุด แต่แกลงมิดนะ ถึงหน้ากรอบเลย
ที่ผ่านมาต้องใช้เวลา เนื่องจาก ในโลกของฟุตบอลอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นโดยเฉพาะเรื่องของโรคมาเป็นส่วนต่อรอง ซึ่งมันมีเงื่อนไขสำคัญที่เหมือนจะซับซ้อนอยู่หลายอย่างหลายข้อ
1.เงื่อนไขอายุ 29 ปี
2.ค่าเหนื่อยไม่ใช่ปัญหา แต่ติดเงื่อนไขราคา 30 ล้านปอนด์
3.การต่อสัญญาของ เคอร์ติส โจนส์ ที่ตำแหน่งนี้ “ขี่คอ”กันเลย
4.ไวจ์นัลดุม ที่ยังไม่ตัดสินใจว่าจะยังไง ไปหรือว่าอยู่
5.โลกธุรกิจในยุคโควิด-19
อย่าลืมว่า นาบี เกอิต้า ก็สามารถเล่นได้ในตำแหน่งบ็อกซ์ ทู บ็อกซ์ ทั้งสองฝั่ง และการทะลุทะลวงดีกว่า คล่องกว่า แต่ข้อแม้คือ เจ็บบ่อยไปหน่อยในช่วงที่ผ่านมา
ลงท้าย ติอาโก้ ย้ายมาสวมเสื้อหมายเลข 6 และมีการจ่ายเงินค่าตัวเหลือ 20 ล้านปอนด์ และแอด-ออนส์ 5 ล้านปอนด์ในอนาคต
แถม 20 ล้านปอนด์แรก สามารถจ่ายแบบเป็นงวดๆ ได้ด้วย
ถือเป็นการทำธุรกิจในสไตล์ของ “เฟนเวย์” เจ้าของทีมลิเวอร์พูล แบบเกินร้อยเปอร์เซ็นต์
พอจะพิจารณากันแล้วว่า ดีลนี้จะไปทางไหน เมื่อเราเห็นว่า เจอร์เกน คล็อปป์ อยากจะเล่น 4-3-3 แนวทางใหม่ และเติมความ “ใหม่” ให้ทีม
เงื่อนไขที่ช้าก็เพราะว่า ทุกอย่างต้องอยู่บนความเป็นจริงพื้นฐานของสโมสร และธรรมชาติจังหวะโอกาสเวลา.............
หากเป็นช่วงเวลาปกติ คงไปสอยมานานแล้ว แต่หนนี้ทิศทางโรค มันกำหนดทิศทางโลกจริงๆ
จับดูตรงนี้ว่า เขาจะปรับตัวได้เร็วขนาดไหนกับสไตล์ของทีม และต้องดวลกับฟุตบอลอังกฤษ ที่หายใจรดต้นคอแบบฟืดฟาดต่อเนื่อง กัดไม่ปล่อย และหนักหนาสาหัสกว่าทั้งที่สเปน กับ เยอรมนี
ส่วนที่บางคนบอกว่า ติอาโก้ มาเพื่อเติมดีเอ็นเอแห่งผู้ชนะให้กับทีมนั้น ก็คงจะใช่แต่ไม่ทั้งหมด เพราะนักเตะลิเวอร์พูล ชุดนี้ ได้ถูกเติมตรงนี้จากการทำงานของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ก่อนที่ทุกคนจะดื่มด่ำกันมาทั้งถ้วยยุโรป, ถ้วยแชมป์โลก และถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีก
แต่เป็นการซื้อมาเพื่อเติมต่อให้ความกระหายยังมีต่อไป
เป็นการซื้อมาเพื่อ “ข่มขวัญ” คู่ต่อสู้ กับอาวุธเก่าที่ว่าโหดแล้ว อาวุธใหม่ก็มีเหมือนกัน
เป็นการซื้อมาเพื่อลดทอนแรงกดดันจากแฟนฟุตบอล แม้หลายคนจะเข้าใจว่า นี่คือยามยาก แต่โลกลูกหนังที่ยังเดินต่อไป และทีมระดับนี้จะต้อง “ซื้อ”
ที่สำคัญก็คือ พอซื้อแล้วก็กลับกลายเป็นว่า มีดีลอะไรต่างๆ ตามหลังมาแบบเป็นบ้าเป็นหลัง
โดยเฉพาะดีลของ ดีเอโก้ โชต้า, อิสไมล่า ซาร์ และอุสมาน เดมเบเล่ โผล่ขึ้นมาแบบต่อเนื่อง
โชต้า 35 ล้านปอนด์ และมีการดึง คี จาน่า ฮูเฟร์ กองหลังดาวรุ่งเสียบไปในสัญญาด้วยที่ 10 ล้านปอนด์
เมื่อมองย้อนกลับไปเช็คชื่อแต่ละคน น่าสนใจตรงที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ไม่สนใจที่จะ “ซื้อหน้าเป้า” มาเสริมเลย ไม่มีเลยสักคน
หรือว่า จะมีการขยับตำแหน่งครั้งสำคัญของ โมฮาเหม็ดซาลาห์ กับ ซาดิโอ มาเน่ แต่ยังคงวางใจไปที่ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่
หรือในทางกลับก็คือ มาเสริมขนาดนี้ จะมีใครหรือไม่ที่ถูกขายออกไป?!?!?!?!?!
เท่ากับว่า การมาของ ติอาโก้ คือแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ของสโมสรโดยแท้!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี