พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ประกาศยืนยันว่า พบบุคลากรในฟุตบอลลีกติดเชื้อไวรัส “โควิด-19” เพิ่มขึ้นอีก 5 ราย ซึ่งเป็นผลออกมาจากการตรวจรอบที่ 6 ของฤดูกาลนี้ รวมทั้งสิ้น 1,128 คน
รอบตรวจครั้งนี้ มีผลระหว่างวันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม ถึง วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคมที่ผ่านมา ปรากฏว่า มีผู้ติดเชื้อ 5 คน ที่มีผลออกมาเป็นบวก และต้องเข้าสู่กระบวนการกักตัวเป็นเวลา 10 วัน แต่ไม่มีการเปิดเผยว่า เป็นนักฟุตบอล หรือ เจ้าหน้าที่ของสโมสรไหน เนื่องจากเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่เปิดเผยได้ก็ต่อเมื่อบุคคลที่ติดเชื้อนั้นยินยอมที่จะบอกต่อสาธารณชนเท่านั้น
สรุปการตรวจหาเชื้อไวรัส “โควิด-19” มีดังนี้ รอบที่ 1 (ระหว่างวันที่ 31 ส.ค.-6 ก.ย.) : พบผู้ติดเชื้อ 3 ราย จากการตรวจ 1,605 คน, รอบที่ 2 (ระหว่างวันที่ 7-13 ก.ย.) : พบผู้ติดเชื้อ 4 ราย จากการตรวจ 2,131 คน,
รอบที่ 3 (ระหว่างวันที่ 14-20 ก.ย.) : พบผู้ติดเชื้อ 3 รายจากการตรวจ 1,574 คน,รอบที่ 4 (ระหว่างวันที่ 21-27 ก.ย.) :พบผู้ติดเชื้อ 10 ราย จากการตรวจ 1,595 คน, รอบที่ 5 (ระหว่างวันที่ 28 ก.ย.-4 ต.ค.) : พบผู้ติดเชื้อ 9 ราย จากการตรวจ 1,587 คน และ รอบที่ 6 (ระหว่าววันที่ 5-11 ต.ค.) : พบผู้ติดเชื้อ 5 ราย จากการตรวจ 1,128 คน ทั้งนี้ผู้ติดเชื้อจำเป็นต้องเข้ารับการกักตัว 10 วัน จากนั้นต้องผ่านการตรวจสองรอบให้ออกมาเป็นลบ เพื่อกลับมาลงเล่นอีกครั้ง
ทางด้าน “ขุนค้อน” เวสต์แฮม ยูไนเต็ด กลายเป็นทีมแรกที่ต้าน “Project Big Picture” ที่ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล กับ“ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ร่วมมือกันทำแผนเสนอให้กับทุกภาคส่วนได้พิจารณาความเป็นไปได้ ด้วยหลักการ “รักษาระบบพีระมิด” ของวงการฟุตบอลอังกฤษ ที่คิดค้นกันมาแล้ว 3 ปีและได้จังหวะมาออกข่าวดังในตอนนี้ ยุคที่ โควิด-19 กำลังทำร้ายทุกวงการ โดยเฉพาะวงการฟุตบอล
อย่างไรก็ดี เวสต์แฮม มองว่า นี่เหมือนกับการหวังดีแต่แฝงไปด้วยความประสงค์ร้าย เพราะสุดท้ายแล้ว “บิ๊กซิกซ์”ก็จะรวบอำนาจกินเต็มในอนาคต โดย “ขุนค้อน” ถูกจัดเป็นทีมที่อยู่ในกลุ่มที่ถูกจัดมาในการ “ได้สิทธิ์ก่อนใคร” รวมทั้งสิ้น 9 สโมสรแต่พวกเขามองว่า ในอนาคตการสูญเสียการเล่นในบ้านไปถึง 2 เกมมีผลกระทบต่อการบริหารจัดการทีมอย่างไม่ต้องสงสัย
“บิ๊กซิกซ์กำลังใช้โควิด ในการลุซึ่งอำนาจ” แหล่งข่าวเวสต์แฮม กล่าวกับ BBC “ถ้าผ่านไปนานๆ เป็นไปได้ว่าพวกเขาก็จะใช้อำนาจตรงนี้เพื่อตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ”
ขณะเดียวกัน พรีเมียร์ลีก แถลงการณ์ ว่า “ข้อเสนอส่วนบุคคล” ในแผนงานดังกล่าว “จะส่งผลเสียหาย” มากกว่าผลดี
น่าสนใจก็คือ นี่เป็นฤดูกาลที่ 4 ติดต่อกันที่ “บิ๊กซิกซ์”ผ่านเข้ารอบในฟุตบอลยุโรปได้ทั้งหมด อีกทั้งในช่วง 10 ฤดูกาลที่ผ่านมา มีเพียงแค่ 4 ฤดูกาลเท่านั้น ที่มีทีมหลุดโผไปแค่ทีมเดียว
เป็นที่คาดการณ์กันว่า เป็นไปได้ กับการที่จะเกิด “ซูเปอร์ลีก”ขึ้นอีกครั้งในอนาคต ที่จะรวมทีมดังๆ แต่ละประเทศมาเตะกัน ก่อนหน้านี้เคยมีโปรเจกท์ในลักษณะเดียวกันนี้มาแล้ว ซึ่งจะส่งกระทบต่อฟุตบอลลีก หนักกว่าการปรับจาก 20 เหลือเพียง 18 ทีมตามแผนงาน “Project Big Picture” อีกด้วย
ผู้เชี่ยวชาญทางด้านฟุตบอล ระบุว่า แผนนี้มีประโยชน์แต่มีอะไรซ่อนอยู่ในนั้น โดยเฉพาะหากว่า “บิ๊กซิกซ์” เขียนกฎใหม่ได้ด้วยตัวเองแล้ว อาจจะมีการเขียนกฎเพื่อปกป้องธุรกิจตัวเอง และปิดกั้นไม่ให้มีผู้บริหารใหม่ๆ ในอนาคตที่จะเข้ามาเทคโอเวอร์เนื่องจากอาจจะมีการเขียนข้อตกลงในการเสนอขายให้นักลงทุนหน้าใหม่ในราคาเกินความเป็นจริง จากนั้นก็จะทำการรวบอำนาจเกิดขึ้น
สำหรับต้นคิดเรื่องนี้มาจาก เฟนเวย์ สปอร์ต กรุ๊ป เจ้าของสโมสร ลิเวอร์พูล และ โจเอล เกลเซอร์ เจ้าของร่วมของแมนฯ ยูไนเต็ด โดยจะนำเสนอเพื่อขอความเห็นชอบจาก เชลซี,อาร์เซนอล, แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ และคาดว่าจะเริ่มต้นในฤดูกาล 2022/2023 เป็นต้นไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี