นำทัพครองฟุตบอลโลก ปี 1986
การจากไปของ “เสือเตี้ย” ดีเอโก้ อาร์มานโด้มาราโดน่า ยอดนักฟุตบอลเอกของโลก
ตำนานกัปตันทีมชาติ “ฟ้าขาว” อาร์เจนตินา ชุดแชมป์โลก 1986 เสียชีวิตลง ด้วยวัยเพียง 60 ปี สร้างความโศกเศร้า และเสียใจให้กับแฟนบอลค่อนโลก
มาราโดน่า เป็นผู้นำชี้ทางทั้งสว่างและด้านมืดให้กับแฟนฟุตบอล และสำหรับเด็กในยุค’80
เขาคือคนที่เปิดโลกของฟุตบอลของแท้
น่าสนใจก็คือ สรุปที่จริงแล้ว มาราโดน่าเก่งที่สุดตอนไหนกันแน่ เล่นดีที่สุดในช่วงเวลาใด
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ มาราโดน่า มีชีวิตที่ผูกพันกับฟุตบอลโลก ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่า โรนัลโด้ เดอ ลิม่า เพียงแต่เส้นทางของ มาราโดน่า กับ บอลโลกเริ่มต้นกันมาตั้งแต่ตัวเขายังไม่ได้เข้าร่วม
เริ่มจากปี 1978 อายุ 17 ปี ถูกปฏิเสธไม่ได้เข้าร่วมเตะในบ้านตัวเองเป็นเจ้าภาพ
ปี 1982 ที่สเปน อายุ 21 ปีเป็นตัวจริงและตกรอบ 2 แบบแบ่งกลุ่ม
ปี 1986 ที่เม็กซิโก อายุ 25 ปีนำทัพเป็นแชมป์โลก
ปี 1990 ที่อิตาลี อายุ 29 ปี ได้รองแชมป์โลก
ปิดท้ายในปี 1994 อายุ 33 ปี เล่นได้ 2 นัด ก่อนจะถูกเชิญออกจากการแข่งขัน ด้วยเหตุผลที่โลกรู้ และเหตุผลที่อยู่เบื้องหลัง
ตั้งข้อสังเกต และตั้งคำถามว่ามาราโดน่า เก่งกาจที่สุดตอนไหนกันแน่
ถ้าคิดเอาง่าย นั่นก็คือ ปี 1986 เพราะมีถ้วยแชมป์โลก เป็นเครื่องยืนยันความสำเร็จ และเป็นรูปธรรมอย่างที่สุด
ในฐานะหนุ่มน้อยวัย 21 ปี ลงเล่นทุกนัด รายล้อมด้วยขุนพลชั้นดีจากชุดแชมป์โลก 1978 แต่ต้องยุติเส้นทางด้วยการแพ้ อิตาลี ในวันที่โดนไล่เตะกลิ้งเป็นลูกขนุนพร้อมเสื้อผ้าขาดหลุดลุ่ย และแพ้ บราซิล ในรอบแบ่งกลุ่มรอบที่ 2 มาราโดน่าโดนไล่ออกแถมอีกด้วย
ในปี 1986 การผลัดใบเริ่มขึ้น เมื่อ เซซาร์ หลุยส์ เมน็อตติ อำลาทีมชาติ และเป็น คาร์ลอส บิลาร์โด้ เข้ามาทำงานแทน
ผู้เล่นซีเนียร์อำลาทีมชาติ อูบัลโด้ ฟิลลอล นายประตูที่ใส่หมายเลข 7, ฮอร์เก้ โอลกวิน, อัลแบร์โต้ ตารันตินี่, ดาเนี่ยล เบอร์โตนี่, มาริโอ เคมเปส และออสวัลโด้ อาร์ดิเลส มิดฟิลด์ที่ใส่หมายเลข 1 ลงสนาม จำเป็นเหลือเกินที่ บิลาร์โด้ ต้องสร้างทีมใหม่ขึ้นมา
ปฐมบทในปี 1982
โดยมี มาราโดน่า ที่ตอนนั้นย้ายมาเล่นในสเปน กับ บาร์เซโลน่าและไปอยู่ นาปาลี ในอิตาลี เป็นแกนนำ
หลายคนเล็งเห็นว่า มาราโดน่า ไม่มียอดขุนพลเคียงกาย และเหมือนกับเป็น “บอลชายเดี่ยว” แม้ว่าในตอนนั้นจะมี ฮอร์เก้ บัลดาโน่ จากเรอัล มาดริด มาเล่นร่วม และ ฮอร์เก้ เบอร์รูชาก้า แต่คำถามคือ คู่หูคนสำคัญจากการเป็นแชมป์เยาวชนโลก ปี 1979 หายไปไหน
ราม่อน ดิอาซ คือคนที่จะเคียงข้าง มาราโดน่า มากที่สุด ที่แต่ดิอาซ ไม่มีชื่อในการเล่นทีมชาติอีกเลยนับตั้งแต่ปี 1982 ทั้งที่ดิอาซ เป็นคนทำประตูสุดท้ายให้อาร์เจนตินา ในบอลโลกหนดังกล่าว
รายงานต่าง ๆ ระบุว่า ดิอาซ มีปัญหากับ มาราโดน่า ทำให้ บิลาร์โด้ “ไม่กล้า” ที่จะเรียกตัว ดิอาซ มาติดทีมชาติอีกเลย
เส้นทางของสองคนนี้กลายเป็น “เส้นขนาน” ที่เหลือเชื่อ เมื่อ ดิอาซ มาเล่นอยู่ที่นาโปลี 1 ซีซั่น คือ 1982-83 และเขาก็ย้ายไปอเวลลิโน่ จากนั้นแค่ซีซั่นเดียว มาราโดน่า ก็มาอยู่กับ นาโปลี
อย่างไรก็ตาม ไม่นานมานี้ มาราโดน่า ระบุไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติของเขาว่า เขาไม่เคยมีปัญหากับ ดิอาซ และต้องการให้มาร่วมทัพด้วยซ้ำ แต่ไม่รู้ถึงเหตุผลกลใดที่ บิลาร์โด้ ไม่ใช้งาน ดิอาซ เลย
มาราโดน่า มาฟุตบอลโลก 1986 พร้อมกับนักเตะหน้าใหม่ในทีมที่นอกจาก บัลดาโน่ และเบอร์รูชาก้า ก็มี เนรี่ ปุมปิโด้ นายประตู, ฮูลิโอ โอลาร์ติโกเชีย, โฆเซ่ หลุยส์ บราวน์ และ เซร์คิโอบาติสต้า ส่วน ดาเนี่ยล พาสซาเรลล่า กัปตันทีมชุดแชมป์โลก 1978 ในวัย 33 ปี เสียตำแหน่งให้กับ ออสการ์ รุจเจอรี่
มาราโดน่า ได้รับการแต่งตั้งเป็นกัปตันทีม นำทีมเข้ารอบจากการคัดเลือกโซนอเมริกาใต้ 6 นัด ชนะ 4 เสมอ 1 แพ้ 1 โดยแพ้ให้กับ เปรู ได้เข้ารอบสุดท้ายและจับสลากมาเจอกับ อิตาลี แชมป์เก่า และอีกสองทีมคือ บัลแกเรีย กับ เกาหลีใต้
อาร์เจนตินา เข้ารอบด้วยการชนะ 2 เสมอ 1 โดยนัดแรก ชนะ เกาหลีใต้ 3-1 ต่อด้วยการเสมอกับ อิตาลี 1-1 และชนะ บัลแกเรีย 2-0
ก่อนจะเล่นน็อกเอาท์ชนะ อุรุกวัย 1-0 และเอาชนะในเกมที่ยังโด่งดังจนถึงทุกวันนี้เหนือ อังกฤษ 2-1 ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย
มาราโดน่า ที่ยิง 1 ประตูใส่อิตาลีในรอบแรก มาโด่งดังเป็นพลุแตก จากการที่เขาใช้มือปัดเข้าประตูในนาทีที่ 51 แต่ให้หลังแค่ 4 นาที เขารังสรรค์ประตูที่ว่ากันว่า ดีที่สุดอีกครั้งในประวัติศาสตร์ฟุตบอล
ก่อนแข่งเกมนี้กระแสมันหนักเรื่องสงครามฟอล์กแลนด์ ซึ่งเป็นกรณีพิพาทระหว่าง อาร์เจนตินา กับ อังกฤษ โดยตรง ยิ่งทำให้เกมนี้ร้อนตั้งแต่ยังไม่เริ่ม และเดือดดาลเป็นที่ถกเถียงหลังจากจบเกม
บันเทิงครั้งสุดท้าย ปี 1994
มาราโดน่า ได้บัญญัติประตูนั้นว่า ลูกนั้นไม่ได้เป็นการใช้มือทำประตู
แต่นั่นคือ “หัตถ์พระเจ้า” หรือ Hand of God!!!!!!!
คำนี้ขึ้นมาจนกลายเป็นตำนานของโลกตลอดกาล จากความ “เจ้าเล่ห์” ของเขา
ความยอดเยี่ยมของ มาราโดน่า ยังคงอยู่ต่อไปเมื่อเขาซัดเบลเยียมคนเดียวสองประตู พาทีมเข้าไปชิงชนะเลิศได้สำเร็จ และหักด่าน เยอรมันตะวันตก 3-2 โดยประตูชัยได้จากการแผ้วทางของ มาราโดน่า ไปให้กับ เบอร์รูชาก้า วิ่งทะลุไปสังหารผ่าน ฮาราลด์หรือว่า โทนี่ ชูมัคเกอร์ ตุงตาข่าย
โลกทั้งโลกยอมสยบให้กับ มาราโดน่า
ในการเป็นแชมป์โลก มาราโดน่า ล้างแค้นได้หมดทั้ง เบลเยียม ที่แพ้ในนัดเปิดสนามปี 1982 และใช้อิตาลี ที่เขี่ยพวกเขาตกรอบ 2 มาเป็นทางผ่านสู่การเป็นแชมป์
ที่สำคัญก็คือ การเป็นเบอร์ 1 โลก ย่อมทำให้ อาร์เจนตินา เหนือกว่าคู่ปรับตลอดกาลอย่าง บราซิล ในเวลานั้น!!!
การได้แชมป์โลกคือที่สุดของที่สุด แต่น่าสนใจก็คือ อันที่จริงแล้ว มาราโดน่า พีคสุดตอนฟุตบอลโลก 1990 หรือไม่
การนำทีมมาป้องกันแชมป์ มาราโดน่า อยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยจะฟิตเท่าไหร่นัก แต่ยังสามารถนำทีมผ่านเข้าสู่นัดชิงชนะเลิศ แบบว่า ลากเลือดแต่ก็สู้ไม่มีถอย
ประเภทที่ว่าเล่นบอลแบบ “ดีนัดเสียนัด” แต่ก็สู้ไม่ถอยแบบ “ก่อนตายยังมีชัก”!!!
ประเดิมเกมแรกฟอร์มแย่แพ้ แคเมอรูน 0-1 เป็นที่มาของตำนาน “หมอผี”ไปตลอดกาล แต่นัดต่อมา มาราโดน่า ใช้หัตถ์พระเจ้าหรือ แฮนด์ ออฟ ก๊อด ภาค 2 ด้วยการใช้มือสกัดบอลจากเส้นประตู ก่อนที่ อาร์เจนตินา จะชนะ สหภาพโซเวียต 2-0 ซึ่งเกมนั้นเล่นที่เนเปิ้ลส์
นัดสุดท้ายรอบแรก มาราโดน่า เล่นไม่ออกแต่ทีมยันเสมอ โรมาเนีย แบบเจียนอยู่เจียนไป 1-1 เข้ารอบมาแบบเป็นอันดับ 3 ที่ดีที่สุด
ที่สุดก็คือ มาราโดน่า ก็กลับมาเล่นดีในการเตะรอบ 2 และทำแสบสันต์สุดๆ เมื่อพาบอลหนีผู้เล่นบราซิลเกือบครึ่งทีม ก่อนจ่ายให้ เคลาดิโอ คานิกเกีย คู่หูคนใหม่แห่งยุคยิงสังหารแซมบ้า
ลบแค้นในใจตั้งแต่ปี 1982 และนำอาร์เจนไตน์ เหนือล้ำกว่าพวกเซเลเซา อีกครา
มาในรอบ 8 ทีม มาราโดน่า แผลงฤทธิ์ไม่ออกอีกครั้ง ทีมเสมอกับ ยูโกสลาเวีย 0-0 ต้องไปตัดสินกันที่การดวลจุดโทษ
มาราโดน่า ก็ยังอุตส่าห์ยิงไม่เข้า แต่ได้การเซฟจากนายประตูผีบ้าอย่าง เซร์คิโอ กอยโกเชีย ที่เป็นตัวสำรอง ลงเล่นตั้งแต่นัดที่ 2 ของรอบแรก เพราะ เนรี่ ปุมปิโด้ ขาหัก โชว์การเซฟจนทีมเข้ารอบ
มาถึงรอบตัดเชือก เกมกลับมาเล่นกันที่เนเปิ้ลส์ พร้อมกับการกลับมาเล่นดีอีกครั้ง ซึ่ง มาราโดน่า ร่ายมนต์อีกครั้ง เมื่อพาทีมเสมอกับ อิตาลี 1-1 ทำให้ อิตาลี เสียประตูแรกของทัวร์นาเมนท์จากลูกโหม่งของ คานิกเกีย สุดท้ายก็ลากเจ้าบ้านไปสังหารด้วยจุดโทษ ผ่านเข้าชิงชนะเลิศไปดวลเกมล้างตากับ เยอรมันตะวันตก น่าเสียดายตรงที่มันเข้าโควตา “เล่นไม่ดี” ของ มาราโดน่า
แฮนด์ ออฟ ก๊อด บันลือโลก ปี 1986
อาร์เจนตินา ที่ไม่มี คานิกเกีย ที่ติดแบน และริคาร์โด้ จิอุสตี้ที่โดนไล่ออกจากรอบรองฯ สุดท้าย “ฟ้าขาว” ที่เหลืออยู่ 9 คน ต้องแพ้ไป 0-1 จากจุดโทษของ อันเดรียส์ เบรห์เม่ ในช่วงท้ายเกม
เปโดร มอนซอน ลูกน้อง มาราโดน่า เป็นคนแรก ที่โดนไล่ออกในนัดชิง และมีคนที่สองด้วยก็คือ กุสตาโว่ เดซอตติ ทำให้ อาร์เจนตินา พ่ายแพ้อย่างบอบช้ำ
มาราโดน่า ก็ชอกช้ำอย่างที่สุด
ว่ากันตามเชิง ฟุตบอลโลก 1994 ในยุคที่ไม่มีการเมืองเข้าแทรก มาราโดน่า และอาร์เจนตินา อาจจะไปได้ไกลกว่านี้ แต่สุดท้าย มาราโดน่า ที่เล่นได้สะเด่าทรวงในจากสองเกมแรกที่ถล่ม กรีซ 4-0 และเด็ดปีกนกกำลังจะบินอย่าง ไนจีเรีย
เป็นอีกครั้งที่ มาราโดน่า ฤทธิ์แรงเหลือกำลัง
เท่ากับว่า ฟุตบอลโลก 1986, 1990 และ 1994 ด้วยวัย, ประสบการณ์ มาราโดน่า น่ากลัวในการเล่นแทบจะทุกชั้นปี
ไม่ว่าจะอยู่ใน “ยุคของผู้ล่า” ในปี 1986 หรือเล่นดีนัดเสียนัดใน “ยุคผู้ถูกล่า” ในปี 1990 รวมถึงยุคที่หวังจะไว้ลายเสือร้ายในปี 1994
อยู่ที่หลายคนจะตัดสินใจว่ายังไง เขาดีที่สุดตอนไหนกันแน่
หรือดีทุกครั้งก็ว่าได้
มาราโดน่า เกิดมาเพื่อให้คนรู้จักทั้งโลก และให้คนร่วมรู้จักฟุตบอลโลก
ผมเชียร์ อังกฤษปี 1986 ก็แพ้ มาราโดน่า แอบมาเชียร์อิตาลี ปี 1990 ก็แพ้ มาราโดน่า ตอนนั้นไม่เคยชอบ มาราโดน่า แต่เมื่อคุณเปิดใจกว้าง และเริ่มรู้เริ่มศึกษาก็ได้รู้ว่า มาราโดน่า คนนี้
เป็นผู้ทำให้เด็กๆ ในยุค’80-’90 รู้จักคำว่า “โลกฟุตบอล”
ได้รู้ซึ้งและเข้าถึงของคำว่า “ฟุตบอล” ไปตลอดกาล.....
บี แหลมสิงห์
เจ็บแค่ไหนก็ยังพาทีมเข้าถึงชิงปี 1990
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี