‘เปาโล รอสซี่’ จาก‘ผู้แพ้’สู่ตำนานแห่ง‘ผู้ชนะ’

1 ใน 3 นักเตะของโลกใบนี้ที่ได้รับตำแหน่งถึง 3 รางวัลในฟุตบอลโลกคราครั้งเดียวได้จากเราไปอีกคน

ปี 2020 พรากสุดยอดขุนพลเอกของโลกที่แจ้งเกิดในบอลโลก 1986 อย่าง ดีเอโก้ มาราโดน่า ไปได้ไม่กี่สัปดาห์

10 ธันวาคม.....เปาโล รอสซี่ สุดยอดนักเตะที่พา อิตาลี เป็นแชมป์โลก 1982 ก็อำลาจากโลกนี้ไปเช่นกัน ด้วยวัยเพียง 64 ปี

***************

ผมโทรไปหาพ่อ แล้วค่อย ๆ บอกว่า "พ่อ.....เพื่อนพ่อไปอีกคนแล้วนะ" พ่อตกใจบอกว่า "มีอะไรลูก ใครเป็นอะไรอีก"

ผม : เปาโล รอสซี่ ครับพ่อเพิ่งเสียเมื่อเช้า

พ่อร้องห๊ะ

"ปีนี้มันปีอะไร มาเอาคนจากฟุตบอลโลกไปหลายคนแล้วนะลูก เมื่ออาทิตย์ที่แล้วยังคุยเรื่องมาราโดน่า คุยเรื่องรอสซี่ อยู่เลย"

***********

เปาโล รอสซี่ คือชื่อเบอร์ต้น ๆ ที่พ่อกล่าวพ่อเล่าเรื่องบอลให้ฟังตั้งแต่เด็ก ๆ ว่า มีนักฟุตบอลคนหนึ่งที่พร้อมจะทำประตูอยู่ตลอดเวลา โดยไม่สนใจว่า ตัวเองจะบาดเจ็บหรือไม่

"จอร์จ เบสต์ เลี้ยงบอลได้เก่งมาก, เอียน รัช หาพื้นที่ได้ดี จมูกไว, เควิน คีแกน วิ่งเข้าใส่ในทุกจังหวะ ส่วน เปาโล รอสซี่ พร้อมจะยิงประตูทุกวินาที โดยพร้อมจะแลกหัวกับสตั๊ค"

พ่อบอกว่า คีแกน กับ รอสซี่ เหมือนกันคือ กล้าหาญ แต่ รอสซี่ พุ่งเข้าหาบอลแบบไม่มีกลัว.....

.....โปสเตอร์ฟุตบอลแผ่นแรก ที่ติดตรงหัวนอน คือโปสเตอร์ทีมชาติอิตาลี ชุดแชมป์โลก ปี 1982 พ่อซื้อมาจากตลาดนัดคลองเตย

ขณะที่เสื้อฟุตบอลตัวแรกของผม คือเสื้อทีมชาติอิตาลี ซื้อจากห้างเซ็นทรัล วงเวียนใหญ่ สีน้ำเงินเข้มสวยงาม เป็นของขวัญก่อนที่พ่อจะเดินทางไปทำงาน ซาอุฯ ตอนนั้นปี 1983 พ่อซื้อไว้ให้ผม ตั้งใจให้ผมดูฟุตบอลต่อไป แม้พ่อจะต้องเดินทางไปทำงานตามสัญญา 2 ปีเต็ม

****************

ว่ากันถึง รอสซี่ นี่คือ 1 ใน 3 นักเตะที่ได้รางวัลแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดจากฟุตบอลโลกสมัยเดียวกันอย่างที่สุดแห่งความภาคภูมิ

นั่นคือ FIFA World Cup Golden Ball, FIFA World Cup Golden Boot และFIFA World Cup All-Star Team

คนแรกคือ การ์รินช่า ปี 1962, คนที่ 2 คือ มาริโอ เคมเปส ปี 1978 และคนที่ 3 คือ รอสซี่ ปี 1982

เมื่อก่อนเค้าเรียก รอสซี่ ว่า "กองหน้าขี้คุก" เป็นการรังสรรค์ปั้นแต่งงานให้"ดูน่าอ่าน" แต่ที่จริงแล้ว "ดูน่าเกลียด" เกินไป เมื่อความจริงทั้งหมด

รอสซี่ ไม่ได้ติดคุก และอาจจะไม่มีเอี่ยวกับการล้มบอลเลยด้วยซ้ำไป

รอสซี่ ไม่ได้เล่นฟุตบอล 2 ปี เนื่องจากต้องคดีล้มบอล แต่ชวนให้ทุกคนคิดว่า เอาเข้าจริงแล้ว ตกลงเขาได้ทรยศต่ออาชีพล่ะหรือ??? หรือเป็นเพราะช่วงเวลาแห่ง"มาเฟีย"เข้าครอบครองวงการฟุตบอลอิตาเลี่้ยน

ล้มบอลหรือเปล่าไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ ก็คือ รอสซี่ คือผู้ปฏิเสธมาเฟีย

เขาเคยเป็นนักเตะที่แพงที่สุดในโลก เมื่อปี 1976 ด้วยการย้ายไป วิเชนซ่า เพื่อแลกสัญญาถาวร และมีผู้ถือสิทธิ์นักบอลเป็นหนึ่งเดียว ซึ่ง ยูเวนตุส เรียกค่าเสียหาย 2.612 พันล้านลีร์

สุดท้ายบทลงเอยคือ 1,750,000 ปอนด์ เป็นสถิติโลกลำดับที่ 28

***************

* เหยื่อของความอยุติธรรม

รอสซี่ ยืนยันว่า เขาเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่เสมอและระบุว่าเขาตกเป็นเหยื่อของความอยุติธรรม กับเหตุการณ์ที่ถูกพัวพันว่า "ล้มบอล" ในปี 1980

เป็นการล้มบอลครั้งใหญ่ครั้งแรกในอิตาลี โดยได้รับการขนานนามว่า "โตโต้เนโร่ 1980"(Totonero 1980)

การตัดสินจาก The Guardia di Finanza

รอสซี่ กล่าวว่า "ล้มแล้วต้องลุกให้ได้"

23 มีนาคม 1980 อัลวาโร่ ตรินซ่า กับ มัสซิโม ครูซิอานี่ เจ้าของร้านรับพนันจากกรุงโรม ระบุว่า มีผู้เล่นบางคนล็อคผลการแข่งขัน

หลายสโมสรพัวกันในเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ ประกอบด้วย ทีมในเซเรีย อา คือ อเวลลิโน่, โบโลญญ่า, ยูเวนตุส, ลาซิโอ, เอซี มิลาน, นาโปลี, เปรูจา และเปสคาร่า

ทีมในเซเรีย บี เจนัว, เลชเช่, ปาแลร์โม่, ปิสโตอิสเซ่ และตารันโต้

บทลงโทษหนักสุดก็คือ เอซี มิลาน ถูกปรับตกชั้น และ ลาซิโอ ถูกปรับตกชั้น แถมโดนปรับไปอีก 10 ล้าน

นักบอล 20 คนโดนตัดสินห้ามลงสนาม หนักสุดคือ สเตฟาโน่ เปเยกรินี่ ของอเวลลิโน่ ยาวถึง 6 ปีห้ามอุทธรณ์ ส่วนคนดังสุดคือ เปาโล รอสซี่ หัวหอกทีมชาติอิตาลี ที่อยู่ในสัญญายืมตัวมาอยู่กับ เปรูจา

รอสซี่ ผู้ยิงประตูในบอลโลก 1978 ได้ 3 ลูก ถูกสั่งแบน 3 ปี ก่อนจะอุทธรณ์เหลือ 2 ปี

รอสซี่ อยู่ในเกมที่ เปรูจา เสมอกับ อเวลลิโน 2-2 ศาลพบว่ามีความผิดจริง แม้ว่ารอสซี่จะยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองแต่ก็ไม่พ้นโทษ โดยเหตุผลที่มาหักล้างในตอนนั้นก็คือ รอสซี่ ไม่ยอมย้ายไปอยู่กับ นาโปลี เพราะเขาไม่อยากไปอยู่เมืองมาเฟีย

นาโปลี ติดจ่อขอซื้อตัวไปร่วมทีมด้วยราคาเพิ่มเท่าตัวเป็น 3 เท่า แต่รอสซี่ ไม่ต้องการ และจึงตัดสินใจไปร่วมทีมเปรูจา แบบยืมตัว

***************

ที่สุดแห่งการสร้างชื่อต้องบอลโลก 1982

อิตาลี คว้าแชมป์โลกได้เป็นหนแรก หลังจากหมดยุคสงครามโลก และเกมการเมืองของ มุสโสลินี่

พวกเขาได้แชมป์อย่างงามสง่า และเป็นสมัยที่ 3 ณ ประเทศสเปน พวกเขาไม่มีวี่แววจะเป็นแชมป์ หลังจากรอบแรกที่อยู่ในกลุ่ม 1 ประกอบไปด้วย โปแลนด์, แคเมอรูน และ เปรู  ปรากฏว่า พวกเขาเสมอรวดทั้ง 3 เกม มีแต้มเท่ากับ แคเมอรูน ที่เสมอมา 3 เกมเหมือนกันและลูกได้เสียดันเท่ากันอีกตั้งหาก แต่ทว่า อิตาลี นั้นเข้ารอบด้วยการเป็นอันดับสองของกลุ่มเนื่องจากพวกเขายิงประตูได้มากกว่า

เสียงด่า เอ็นโซ่ แบร์ซอต ดังก้องโลก เพราะ แบร์ซอต คือคนที่เลือก รอสซี่ ที่ไม่ได้บอลมาเลย อยู่ในทีมชุดนี้ด้วย

รอบต่อมา ในการเตะแบบมินิลีก อิตาลี นั้นไปอยู่ในกลุ่มซี ซึ่งถือว่าเป็นกรุ๊ป ออฟเดธ เลยทีเดียว ประกอบไปด้วย อาร์เจนติน่า และ บราซิล

ตอนนั้น อิตาลี ต้องเจอกับ "เต็ง 1" บราซิล ที่เปี่ยมไปด้วยยอดนักเตะชั้นนำอย่าง ซิโก้, โซคราเตส, ฟัลเกา, จูเนียร์ และ "แชมป์เก่า" อาร์เจนติน่า ที่มี ดีเอโก้ มาราโดน่า มาลงเล่นบอลโลกสมัยแรก แต่พวกเขามาแสดงให้เห็นถึงพลังที่แท้จริงเข้ารอบน็อคเอาท์ด้วยการเฉือน อาร์เจนติน่า 2-1 และบดเอาชนะ บราซิล ไปแบบสุดมันส์ 3-2

จากการทำแฮตทริกของ เปาโล รอสซี่

ในรอบรองชนะเลิศ อิตาลี ต้องโคจรมาพบกับ โปแลนด์ อีกครั้ง ซึ่งคราวนี้ทัพอัซซูรี่สามารถเอาชนะไปได้ 2-0 จากการเหมาคนเดียวสองประตูของ รอสซี่ คนเดิม ส่งให้ทีมผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ

การแข่งขันในรอบไฟน่อล อิตาลี ต้องพบกับแชมป์ 2 สมัยอย่าง เยอรมันตะวันตก ที่ดวลจุดโทษเอาชนะ ฝรั่งเศส มาแบบสุดมันส์ หลังจากเสมอกันในเวลาปกติ 3-3

ครึ่งแรกนั้นเสมอกันแบบไม่มีสกอร์ อันโตนิโอ คาบรินี่ ยิงจุดโทษไม่เข้าอีกต่างหาก เกมมาในครึ่งหลัง อิตาลี ได้ 3 ประตูรวดจากการตอร์ปิโดบกของ รอสซี่

ผมเดาว่า ประตูนี้แหล่ะที่ติดตาและตรึงใจพ่อของผมมาจนถึงทุกวันนี้

อิตาลี มาได้อีกสองประตูด้วยลูกยิงหน้ากรอบเขตโทษของ “ไอ้ม้าเหล็ก” มาร์โก ทาร์เดลลี่ และ อเลสซานโดร อัลโตเบลลี่ ก่อนที่ เยอรมันตะวันตก จะตีตื้นจาก พอลไบร์ทเนอร์ แต่ก็ไล่ไม่ทัน ทำให้ อิตาลี เอาชนะ เยอรมันตะวันตกไปได้ 3-1 ผงาดคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยที่ 3 ของพวกเขาได้สำเร็จทาบสถิติตลอดกาลของ บราซิล

ส่วน เปาโล รอสซี่ กลายเป็นฮีโร่ของชาวอิตาลี และเป็นที่รู้จักไปค่อนโลก คว้ารางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนท์ พร้อมกับตำแหน่งดาวซัลโวจากการซัดไป 6 ประตู

**************

กองหน้ารูปร่างผอมเกร็ง พุ่งเข้าใส่ฟุตบอลแบบไม่กลัวเกรงอะไรใด ๆ มีความว่องไว กระหายในการพังประตู

ผู้พิสูจน์ตัวเองจาก"ความพ่ายแพ้"

สู่ความเป็น"ผู้ชนะ"ขั้นสูงสุดของฟุตบอล

ดาวค้างฟ้า.....ที่ขึ้นไปอยู่บนฟ้าอีกคน

ฮีโร่ของพ่อ ที่ทำให้เราได้ศึกษาฟุตบอลในกาลต่อมาอย่างเป็นทางการ........

พอได้แล้วนะ"ปี 2020"

ช่างร้ายเหลือซะจริง..............

#บีแหลมสิงห์