ในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่เป็นช่วงเวลาแห่งความสุข
แต่ปีนี้โลกถูกออกแบบด้วย “ไวรัสร้าย” อย่าง โควิด-19 ทำให้เทศกาลดังกล่าวนี้ กลายเป็นเทศกาลที่ “สุขไม่สุด” และเต็มไปด้วยความกังวล ไม่ว่าจะไปไหน หลายคนหวั่นเกรงกันว่า เชื้อร้ายนี้จะมาติดคุณ.....หรือยัง
ร้ายแรงยิ่งกว่าเรื่องราวอื่นใด นั่นคือการสูญเสียของ “คนแนวหน้า” หนังสือพิมพ์ที่ยืนหยัดมายาวนานนับ4 ทศวรรษ เมื่อ คุณจำนงค์ จันทรสำเภาบรรณาธิการข่าวกีฬา ที่เป็น “กำลังหลัก”ในการทำงานของที่นี่ และเป็นที่รักใคร่ของคนในวงการกีฬา
ต้องลาจากไปอย่างไม่มีวันหวนคืน
ไม่มีใครคาดคิด และไม่มีใครคิดฝันเรื่องแบบนี้มาก่อน
แม้วัยจะล่วงเลยมา 77 ปี ผ่านการทำงานมานานถึง 5 ทศวรรษ แต่ “ป๋านงค์” แทบจะไม่เจ็บป่วยอะไร หรือกินหยูกกันยาอะไรให้เราเห็น ยกเว้นเรื่องของสายตาที่มีปัญหาตั้งแต่หนุ่มๆ
กระทั่งมาสัก 3-4 ปีที่ผ่านมา เริ่มมีบ้างที่ต้องมีปัญหากับน้ำตาล, ความดัน ถือเป็นเรื่องที่ปกติ
แต่เมื่อเทียบกับคนอายุไล่เลี่ยกัน คนเหล่านั้นต้องแก้ไขปัญหาสุขภาพแบบต่อเนื่อง แม้กระทั่งตัวผมเองยังกินยาลดความดัน ก่อนป๋าด้วยซ้ำไป ทั้งที่อายุน้อยกว่ากันถึง 33 ปี
ผมได้สิทธิ์การหยุดปีใหม่ก่อน และกำหนดคือจะเข้ามาทำงานตามปกติในวันที่ 2 มกราคม 2564 เลยถือโอกาสนี้ดิ่งรถมาเมืองกาญจน์ เพื่อมาอยู่กับพ่อในช่วงส่งท้ายปีเก่า
วันที่ 29 ธันวาคม ผมส่งต้นฉบับให้กับป๋า และโทรหากันตามปกติ เพราะถ้าหากเราไม่เจอกัน ก็จะโทรหากันแทบจะทุกวัน ส่วนใหญ่หลังๆ ไม่ได้คุยเรื่องข่าว
แต่จะคุยกันเรื่องสุขภาพ และการนัดกันไปหาอะไรกิน
ในวันที่ 30 ธันวาคม ผมตื่นแต่เช้า และพอหลังกินข้าวเช้า ก็เลยนอนหลับไปอีกรอบเพราะไม่ต้องทำอะไรในวันหยุด ตื่นขึ้นมาอีกทีก็เกือบเที่ยง ก่อนจะได้รับสายโทรศัพท์จากโรงพิมพ์ว่า ป๋ายังไม่เข้าออฟฟิศเลย
คุณแขก-มยุรี โอเปอเรเตอร์ ที่เค้าจะเรียกผมว่า “ลูกรักป๋า” ส่วนผมเวลาเข้าโรงพิมพ์ต้องเจอกับคุณแขกเป็นคนแรกเสมอ ผมก็จะถามทุกครั้งว่า “พ่อมาหรือยัง”
เรื่องของป๋าจะเป็นที่พูดคุยสนุกสนาน แต่วันนี้ไม่เลย คุณแขก บอกว่า แปลกใจทำไมป๋ายังไม่รับสาย
ผมยังตอบไปเล่นๆ เลยว่า แกน่าจะกินปลาดุกอยู่หรือเปล่า เพราะป๋าชอบกินปลาดุกทุกชนิด และเป็นที่รู้กันว่าถ้าหมดมุขจะอำกับป๋า ต้องนำเรื่องปลาดุกมาอำ
พอวางสาย ผมก็เลยลองโทรไปหา......ปรากฏว่าสายติดแต่ไม่รับ
จากนั้นผมพาพ่อไปกินข้าวกลางวัน ที่ร้านใกล้ๆ บ้าน คุณแขกก็โทรมาอีกว่า ติดต่อป๋าไม่ได้ ผมก็เลยโทรไปอีก2 ครั้ง และก็ติดแต่ไม่มีคนรับสาย
คุณแขกจึงปรึกษาหากันว่า ใครที่รู้จักที่พักป๋าในย่านหลักสี่บ้าง และพอดีว่า มีพี่ตุ๋ยที่เคยอยู่กับเราที่นี่อยู่ที่พักเดียวกัน ให้ลองไปดูว่าแกอยู่ห้องหรือเปล่า
......ผมไม่เคยคิดเรื่องนี้เลยว่า ป๋าจะเป็นอะไร แม้กระทั่งตอนนั้นผมยังคิดว่า แกลืมโทรศัพท์ เพราะแกลืมบ่อยมาก เพราะขนาดแว่นที่แกใส่ประจำ แกก็หาไม่เจอ บางทีก็อยู่ที่เสื้อเชิ้ต บางทีก็ห้องน้ำ บางทีแกถืออยู่ก็มี
.........แล้วสิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้น เมื่อผมกำลังจะอิ่มข้าวในเวลาบ่าย 3 คุณประเสริฐ คำพลงาม หัวหน้าข่าวออนไลน์ โทรมาแจ้งข่าวร้ายให้ได้รับทราบ................
........โทรศัพท์โทรเข้ามาทั้งบอก, ทั้งปลอบ, ทั้งตกใจกับข่าวร้ายนี้ ทุกคนไม่มีใครอยากจะเชื่อ..................
....ผมนั่งนึกย้อนกลับไป ไม่มีอะไรที่เป็นเหตุบอกเรื่องนี้เลย
ตลอดเวลาที่ผมเริ่มทำงานที่แนวหน้า 25 สิงหาคม 2541คนแรกที่ผมได้คุยด้วยคือ คุณแขก ที่ผมเดินทางเข้ามาที่นี่ 16 สิงหาคม 2541 และถามว่ามาพบคุณจำนงค์หัวหน้าข่าวกีฬาเพื่อเตรียมสัมภาษณ์เข้างาน
จากนั้นผมได้คุยกับป๋า และไปเขียนงานกับทำสกู๊ป เพื่อทดสอบว่า เรามีองค์ความรู้แค่ไหน จากนั้นผมก็ได้ทำงานที่นี่ ทำงานภายใต้อันเดอร์ของป๋า มาทั้งชีวิต
ป๋าเป็นคนที่บอกให้ผมออกไปทำงานข้างนอกให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้ ให้ผมไปกับ “พี่ตุ้ม” วิศิษฏ์ แสงเมืองออกไปทำทุกข่าว เพื่อให้เราแกร่งที่สุด เพราะตอนนั้นกำลังจะมี “เอเชี่ยนเกมส์ 1998” ที่ไทยเป็นเจ้าภาพ
“ผมขอข่าวเจาะลึกวันละ 2 ข่าว และผมไว้ใจ บี เรื่องการเขียน ดังนั้นผมขอสกู๊ปหน้า 1 ทุกวันในบางกอกเกมส์ครั้งนี้”.....คือหน้าที่ที่ผมต้องรับผิดชอบจากคำสั่งของป๋า
ผลของช่วงเวลานั้น ทำให้ผมได้ทำงานที่นี่เพราะ“ผ่านโปร” ในวันรุ่งขึ้นหลังจากที่ ไทย พลิกเอาชนะ เกาหลีใต้ ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ฟุตบอลที่ราชมังคลากีฬาสถาน
ป๋าบอกว่า ให้ผมทำไอดีการ์ดเป็น “EP” นั่นคือช่างภาพ เพื่อที่จะถ่ายภาพได้ และเข้าไปในที่ต่างๆ ได้มากกว่า “E” ที่เป็นนักข่าว
ป๋าอาจจะไม่ได้บอกเทคนิคอะไรในการทำงานอะไรมากนัก แต่แกให้ไปเจอเองก่อน เจอในสนามจริง แล้วให้เราแก้ไขปัญหาในสถานการณ์ แกบอกว่า ถ้าสุดวิสัยจริงๆ ให้คิดว่า เราก็แค่มนุษย์
“แต่ให้โทรมาบอกทันทีว่าเกิดอะไร เดี๋ยวผมช่วย”
ป๋าอนุญาตให้ผมเดินทางไปทำข่าวตามที่ต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศ ทุกครั้งจะโทรหากันด้วยความห่วงหาอาทร พร้อมกับรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับผมตลอดทั้งชีวิตในการทำงาน
นี่คือ “ผู้ให้โอกาส” กับผม
เมื่อปี 2002 การโด่งดังของ “ไททีวี” ขึ้นก้าวขึ้นมาในยุคยังไม่มีทีวีดิจิทัล ระบบบอกรับสมาชิกยังไม่เปรี้ยงปร้าง ป๋าก็ให้ผมไปเป็นนักวิเคราะห์ฟุตบอลโลก และนั่นทำให้ผมมีความชำนาญในการทำรายการโทรทัศน์มาจนถึงทุกวันนี้
.....ครึ่งชีวิตของผมอยู่กับป๋า จากเดิมผมเรียกน้า ก่อนจะเรียกป๋าได้อย่างเต็มใจ กับชีวิตนี้ที่เกิดมาผมนับถือคนในระดับที่ “เป็นพ่อ” ของเราได้ทั้งหมด 4 คนด้วยกัน
ใช่ครับ.....หนึ่งในนั้นคือ ป๋านงค์คนนี้
ป๋าเคยพูดแบบติดตลกเมื่อ 15 ปีก่อนว่า ผมอนุญาตบีทุกอย่าง แต่ผมขอสักอย่างสองอย่างได้มั้ย ผมตอบว่า ยังไงดีครับป๋า
“ผมขอแค่ว่า ลาไปไหนก็ได้ แต่ห้ามลาออก”
ทีแรกนึกว่าล้อเล่น ตอนหลังแกบอกมาตลอดว่า อย่าไปไหนนะ ทำงานอยู่กับผม ห้ามลาออก........
ถึงวันนี้ผมไม่เข้าใจ ผมทำตามที่บอกแล้วป๋าจะหนีผมไปทำไม................
.....ผมโชคดีที่ได้อยู่กับ “หัวหน้า” ที่มีแต่ให้....“หัวหน้า” ที่มีแต่ความจริงใจ และทุกคนรู้ดีทั้งวงการว่า คนที่ชื่อ “จำนงค์ จันทรสำเภา” น้อยคนนักที่จะไม่รักแก
แม้กระทั่งบรรทัดใกล้นี้ผมก็ยังไม่อยากจะเชื่อ ว่าผมจะต้องเขียนเรื่องนี้ เรื่องจากลาระหว่างผมกับป๋า ที่ความผูกพันยิ่งกว่า “หัวหน้า” กับ “ลูกน้อง”
ผมไม่คิดว่า ชาตินี้ผมจะไม่ได้เจอกับป๋า
ไม่ได้เจอกับอีกหนึ่งคนที่จริงใจที่สุด และรักเรามากที่สุดอีกคนหนึ่งอีกแล้ว
ได้แต่บันทึกเอาไว้ว่า เกิดมาโชคดีแค่ไหนที่ได้เจอป๋า...........
“หัวหน้า.....ที่เป็นยิ่งกว่า “หัวหน้า””
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี