“หงส์แดง” ลิเวอร์พูล เอฟซี แชมป์เก่าพรีเมียร์ลีกอังกฤษ เตรียมเปิดสนามแอนฟิลด์ รับการมาเยือนของ “เดอะ คราเร็ตส์” เบิร์นลี่ย์ ในศึกพรีเมียร์ลีก คืนวันพฤหัสบดีนี้เวลา 03.00 น.ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทีมที่ฟอร์มกำลังรูดมหาราช ไม่ชนะใครในบอลลีกมา 4 นัดติดต่อกัน และยิงไม่ได้นานถึง 348 นาที
เมื่อซีซั่นที่แล้ว ลิเวอร์พูล ถูก เบิร์นลี่ย์ บุกมายันเสมอได้เป็นทีมแรกในการเตะที่แอนฟิลด์ หลังจากชนะรวดมาในถิ่น 17 เกมติดต่อกัน และตลอดฤดูกาล 19 นัด ลิเวอร์พูล ชนะในถิ่นได้ 18 เสียแต้มให้กับ เบิร์นลี่ย์ เพียงทีมเดียวเท่านั้น
เจ้าถิ่นมีปัญหาในการจัดทัพที่กองหลัง และส่งผลกระทบต่อแกนตรงกลาง เมื่อถอยทั้ง ฟาบินโญ่ และจอร์แดน เฮนเดอร์สันลงมาเล่นในตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ ในเกมแดงเดือด ทำให้สมดุลในทีมเสียไปหมด แถมการลงเล่น 4 เกมหลังสุด ฟอร์มเหมือนฝืดกันไปทั้งทีมในลีก เมื่อมีโอกาสยิงมากถึง 61 ครั้ง แต่กลับยิงตรงกรอบเพียงแค่ 10 ครั้ง และได้มาแค่ประตูเดียวเท่านั้นจาก ซาดิโอ มาเน่ ในเกมกับ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยนในนาทีที่ 12 หลังจากนั้นก็ยิงไม่ได้อีกเลยในเกมกับ นิวคาสเซิ่ล,เซาแธมป์ตัน และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือหงส์ ลุ้นสุดตัวในการได้ โฌแอล มาติ๊ป กลับมาคุมแนวรับอีกครั้ง หลังจากเดี้ยงไปตั้งแต่เกมกับ เวสต์บรอมวิช เมื่อ 27 ธันวาคม 2020 และคาดว่า คล็อปป์ จะจัดทัพแบบเต็มพิกัดลงสู้ในเกมนี้ เพื่อเกาะติดสถานการณ์ในการป้องกันตำแหน่งแชมป์ลีกต่อไป โดย โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ฟีร์มิโน่ และซาดิโอ มาเน่ จะได้สตาร์ทต่อไป ขณะที่แผงกลางจะมีการขยับให้ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ยืนในตำแหน่งกองกลางเล่นร่วมกันกับ ธิอาโก้ อัลคันตาร่า และจอร์จินโญ่ ไวจ์นัลดุม เพื่อเรียกความสมดุลกลับมาอีกครั้ง
ฝั่งผู้มาเยือนจากแลงคาเชอร์ ที่ฟอร์มหลังแพ้ในลีกมาสองเกมติดต่อกัน ด้วยสกอร์ 0-1 ทั้งหมดต่อ แมนฯยูไนเต็ด และเวสต์แฮม โดยคาดกันว่า ฌอน ไดซ์ไม่น่าจะมีการปรับทัพ 11 ตัวจริงที่เล่นร่วมกันมาตลอดยกเว้นในตำแหน่งกองหน้า หลังจากใช้ แอชลี่ย์บาร์นส์ กับ คริส วู้ดที่ดูเหมือนกำลังจะหมดมุข ทำให้ตัวเลือกอย่าง เจย์ โรดริเกวซ กับ มาเตย์ วีดร้า มีโอกาสเบียดลงสนาม
ขณที่ตัวเลือกริมเส้นนั้น โอกาสที่ ดไวท์ แม็คนีลล์ปีกซ้ายดาวโรจน์ที่กลับมาฟิตแล้ว มีโอกาสได้สตาร์ทตัวจริง แล้วขยับ ร็อบบี้ เบรดี้ มายืนด้านขวาตามถนัด ทำให้ โยฮัน เบิร์กกุ๊ดมุนด์สสัน ต้องตกไปเป็นตัวสำรอง ที่เหลือมากันเต็มทีมทั้ง นิค โป๊ป ผู้รักษาประตูจอมหนึบที่มาแจ้งเกิดที่แอนฟิลด์ เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2017
สถิติการพบกันของคู่นี้ ลิเวอร์พูล เหนือกว่าชัดเจน ด้วยการชนะไป 47 นัด เสมอ 26 เบิร์นลี่ย์ ชนะได้ 33 เกม อีกทั้งการพบกัน 7 นัดหลังสุด ลิเวอร์พูล ไม่แพ้ และชนะได้ถึง 5 นัด
ทางด้าน แฟรงค์ แลมพาร์ด จูเนียร์ ผู้จัดการทีม “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี ก้มหน้ายอมรับความพ่ายแพ้ต่อ “จิ้งจอกสีน้ำเงิน” เลสเตอร์ ซิตี้ 0-2 และทำให้ เลสเตอร์ ขึ้นไปนำจ่าฝูงเป็นการชั่วคราว
“ไม่มีใครต้องการให้เกิดขึ้นหรอกกับการพ่ายแพ้แบบนี้ ผมกังวลมากๆ กับฟอร์มการเล่นของเรา เพราะเราควรทำได้ดีกว่าการแพ้ 5 จาก 8 นัดหลังสุดแบบนี้” แลมพาร์ด กล่าว
“ทีมของเราอายุยังน้อย พวกเขาตอนนี้รู้สึกแย่ ผมได้ต่อต้านหรือมีปฏิกิริยาอะไรมากนักหรอก เพราะผมต้องการให้ทุกคนได้เรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน และเราแพ้ให้กับทีมที่ดีกว่าจริงๆ”
แลมพาร์ด กล่าวต่อไปว่า เลสเตอร์ มีความเฉียบคมกว่า มีรูปแบบการเล่นที่ค่อนข้างชัดเจนมากๆ ส่วนเราเองดูเหมือนทีมที่ได้อยู่ในฟอร์มที่ดีเท่าไหร่นัก เหมือนเราหลับไปชั่วขณะหนึ่งในครึ่งแรก ที่สำคัญก็คือ เบสิกในการเล่นของเราวันนี้ เราแทบไม่ได้นำมันมาใช้เลย โดยเฉพาะการคุมพื้นที่ นักเตะของเราหลายคนไม่ได้ทำแบบนั้นเลย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี