ไบรท์ตัน บุกมาชนะ ลิเวอร์พูล ในแอนฟิลด์ได้เป็นหนแรกรอบเกือบ 40 ปี
เชียร์ฟุตบอลต้อง “จมให้ลง”
ลิเวอร์พูลแพ้เกมเหย้าแบบมีเบิ้ลหนแรกรอบ 9 ปีน่าตกใจกว่าก็คือ ยังไม่สามารถทำประตูในเกมลีกในบ้าน 3 เกมติดต่อกัน ครั้งแรกในรอบ 37 ปี
เสมอ แมนยูฯ 0-0, แพ้ เบิร์นลี่ย์ 0-1 และหนนี้แพ้ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน 0-1
“ขาของคุณก็ช่วยอะไรไม่ได้ ถ้าสภาพจิตใจคุณไม่สดชื่น สภาพร่างกายก็จะไม่สดชื่นตามไปด้วย”
วลีเด็ดของ คล็อปป์ เมื่อคืนนี้หลังจาก ลิเวอร์พูล มีปัญหาในบ้าน ทั้งที่ก่อนหน้านั้นไร้พ่าย 68 เกม
การแพ้ติดๆ กัน 2 หน คาแอนฟิลด์เกิดขึ้นหนท้ายคือแพ้ให้กับ “ปืนใหญ่” อาร์เซนอล และ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ปี 2012
จุดสำคัญก็คือ “บอลที่สอง” และ “การออกบอล” สำคัญกับ ลิเวอร์พูล ยุคของ เจอร์เก้น คล็อปป์ มาตลอด และเน้นย้ำเสมอว่า สิ่งสำคัญกว่าแผนนั่นคือ “จังหวะในการเล่น”
เกมกับ ไบรท์ตัน ชัดเจนในเรื่องของการออกบอลที่ผิดจังหวะบ่อยครั้ง จากนักเตะที่อยู่ในจุด A ส่งบอลไปที่จุด Bไม่แม่นยำ จากนั้นพอบอลกระเด้งกระดอนออกไปแล้ว พวกที่อยู่ใกล้ๆ ไม่สามารถเข้าไปรีโควเวอร์บอลกลับมาได้
บอลสองไม่แม่น และบอลสองเก็บไม่ได้ ทำให้เสียจังหวะไปหมด
เจอร์เก้น คล็อปป์ ยอมรับทีมเล่นแบบสภาพจิตใจที่ยํ่าแย่เหลือเชื่อ
ปีนี้ “หงส์แดง” เจอบอลเลิฟเทรน ไม่ใช่รถบัสมาจอดแต่เป็นรถไฟมาตั้งขบวนรับ แก๊งโซนท้ายของตาราง “หงส์แดง”ที่เคยเก็บได้ กลายเป็น “ไปไม่เป็น”
อันดับ 15 ไบรท์ตัน 2 นัด จากปีก่อนกวาด 6 แต้มเต็มปีนี้ได้แค่ 1
ขณะที่ อันดับ 16 นิวคาสเซิ่ล 1 นัด ได้มา 1 คะแนน, อันดับ 17 เบิร์นลี่ย์ 1 นัด ได้ 0 คะแนน, อันดับ 18 ฟูแล่ม 1 นัด ได้ 1 คะแนน, อันดับ 19 เวสต์ บรอมวิช 1 นัด ได้ 1 คะแนน
และอันดับ 20 เชฟฯยู 1 นัด 3 แต้ม
ชนะได้แค่นัดเดียวจาก 7 เกม
เกมนี้ถือว่าหนักมาก เพราะมีโอกาสยิงตรงกรอบโป้งเดียวน้อยสุดตั้งแต่เกมแพ้ พาเลซ 1-2 ตั้งแต่เดือนเมษายน 2017ซึ่งเป็นหนสุดท้ายก่อนรันยาวไร้พ่ายในบ้าน 68 เกม
ที่ผ่านมา คล็อปป์มักจะพูดถึง “จังหวะ” โดยตลอด และเกมนี้ ลิเวอร์พูล เล่นกันแบบ “ไม่มีจังหวะ”
ท่ามกลางโปรแกรมที่ถี่ยิบ คล็อปป์ ไม่อาจจะหันไปใช้พวกนักเตะสำรองได้เลย
ไม่สามารถใช้ได้ แถมยังต้องให้หลายคนลงตัวจริงแบบต้อง “ตะบันให้เล่น” และการไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง
หนึ่งในผลกระทบที่ใหญ่ที่สุดของปัญหาเซ็นเตอร์แบ๊กของลิเวอร์พูลเจ็บไป
นั่นก็คือฟูลแบ๊ก ที่ผิดธรรมชาติไปหมด
คล็อปป์ กล่าวอย่างชัดเจนในช่วงปรีซีซั่นว่าเขาต้องหมุนเวียนพวกเขา แต่ตอนนี้เขาไม่ได้ทำเลย
มันเห็นผลเรื่อยๆ ไม่เห็นผลตรงก็เห็นผลทางอ้อม
อาทิ ทีมอาจจะเริ่มเล่นด้วยการสลับ นีโก้ วิลเลี่ยมส์หรือ คอสตาส ซิมิกาส ได้อย่างสบายใจมากขึ้น ถ้า......
ถ้าทีมมีนักบอลอย่าง เฟอร์จีล ฟาน ไดจ์ค, โจ โกเมซ, โฌแอล มาติ๊ป, ฟาบินโญ่ และจอร์แดน เฮนเดอร์สัน เล่นอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง
แต่ตอนนี้คุณทำไม่ได้ หรือจะต้องใช้ผู้เล่นตัวจริงที่ไม่ปะติดปะต่อกันมากขึ้น
อีกทั้งสภาพร่างกายของนักเตะ และความไม่สมดุลเมื่อผู้เล่นตัวหลักบาดเจ็บมากมาย แถมตัวสำรองบางคนอย่าง ดิว็อก โอริกี้ และอเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน เล่นเหมือนกับว่า ไม่ได้ซ้อมมากับใครในทีมเลย
ภาษากายของทั้งสองคนดูแย่มาก โดยเฉพาะ โอริกี้
แต่เกมนี้ยอมรับเถอะว่า เล่นกันได้แย่จริงๆ บอลที่ต้องไปเก็บมาให้ได้ในจังหวะสองทำไม่ได้ แถมขาดความแม่นยำอีกส่วนสำคัญคือสภาพร่างกายในบอลยุคนี้
กรอบเป็นข้าวเกรียบไปหมดแล้ว
ถ้า คล็อปป์ ไม่ “เข้าตาจน” จริงๆ เขาคงไม่ส่ง มิลเนอร์ที่อายุขนาดนี้เล่นตัวจริง 3 เกมใน 7 วันแน่นอน
เขาต้องการผู้นำในทุกๆ แดน โดยเฉพาะมิดฟิลด์ แต่เมื่อเป็นแบบนี้ เฮนโด้ จะกลับไปเล่นกลางนัดหน้า เพื่อให้เป็นธรรมชาติที่สุด
ว่าแต่ก็อย่ามีใครเจ็บก่อนเกมแบบช็อกแฟนอีกก็แล้วกัน
ถ้านับมา 3 เกมหลังกลิ่นโชยมาแล้วก็เป็นจริง ทั้ง ฟาบินโญ่,ซาดิโอ มาเน่ เมื่อคืนก็ อลิสซอน เบ๊คเกอร์
ถ้าย้อนไปอีกเมื่อ 5 เกมหลังสุดก็คือ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน
นาทีนี้จึงไม่มีใครนับ “ตัวเจ็บ” เป็นตัวเลขอีกแล้ว
ให้นับว่าจะถึง “ร้อยเคส” หรือไม่เท่านั้นแหล่ะ!!!
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี