ในป่าธรรมชาติที่มีสิ่งมีชีวิตต่างๆ ทั้งพืชและสัตว์พึ่งพาอาศัยและอยู่ร่วมกันนั้น เป็นความหลากหลายที่สัมพันธ์กันอย่างสมดุลในระบบนิเวศ ซึ่งเป็นกลไกทางธรรมชาติในการควบคุมดูแลรักษาระบบนิเวศไว้ เช่น แมลงหรือศัตรูที่กินพืชเป็นอาหาร ที่ไม่ได้ทำลายพืชนั้นจนเสียหายไปทั้งหมด พืชเองก็สามารถที่จะฟื้นฟูตัวเองจากการถูกทำลายของศัตรูพืชได้ หรือหากมีแมลงศัตรูพืชเกิดขึ้นมากเกินไปก็จะมีสิ่งมีชีวิตอื่นที่เป็นศัตรูตามธรรมชาติมาควบคุมประชากรของศัตรูพืชให้ลดลงอยู่ในภาวะที่สมดุล จากหลักการนี้เองจึงทำให้เกิดทฤษฎีเกษตรอินทรีย์ขึ้น ซึ่งปัจจุบันทฤษฎีนี้กำลังเป็นที่นิยมและแพร่หลายในกลุ่มผู้รักสุขภาพ จึงเกิดคำถามว่าเกษตรอินทรีย์คืออะไร และทำไมต้องเกษตรอินทรีย์
เกษตรอินทรีย์ คือ การทำการเกษตรแบบองค์รวม ซึ่งแตกต่างอย่างมากจากระบบเกษตรแผนใหม่ โดยมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาอย่างยั่งยืน สร้างสมดุลของวงจรของธาตุอาหาร การประหยัดพลังงาน การอนุรักษ์ระบบนิเวศการเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของดิน การรักษาแหล่งน้ำให้สะอาด รวมทั้งการฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพของฟาร์ม เนื่องจากแนวทางเกษตรอินทรีย์อาศัยกลไกและกระบวนการของระบบนิเวศในการทำการผลิต จึงถือได้ว่า เกษตรอินทรีย์เป็นการบริหารจัดการฟาร์มเชิงบวก (positive management) เนื่องจากเกษตรอินทรีย์เป็นการเกษตรที่ให้ความสำคัญกับการทำฟาร์มเชิงสร้างสรรค์ มีเงื่อนไขทั้งทางกายภาพ เช่น ลักษณะของดิน ภูมิอากาศ สภาพแวดล้อม รวมถึงเศรษฐกิจและสังคมที่แตกต่างกันของแต่ละพื้นที่
ดังนั้นเกษตรกรที่หันมาทำเกษตรอินทรีย์จึงจำเป็นต้องพัฒนาการเรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ ต้องสังเกต ศึกษาและวิเคราะห์ เพื่อคัดสรรและพัฒนาแนวทางเกษตรอินทรีย์ที่เฉพาะและเหมาะสมกับฟาร์มของตัวเองอย่างแท้จริง โดยเน้นการผลิตที่สอดคล้องกับวิถีธรรมชาติมาประยุกต์ใช้ สำหรับการทำเกษตรที่สำคัญ ได้แก่ การหมุนเวียนธาตุอาหาร โดยอาศัยหลักการทางธรรมชาติด้วยการใช้ธาตุอาหารพืชที่อยู่ในรูปของอินทรีย์วัตถุที่สามารถย่อยสลายได้โดยจุลินทรีย์ ซึ่งจะทำให้วงจรธาตุอาหารหมุนเวียนได้อย่างต่อเนื่องเช่น การใช้ปุ๋ยหมัก การคลุมดินด้วยอินทรียวัตถุ การปลูกพืชเป็นปุ๋ยพืชสด และการปลูกพืชหมุนเวียน เป็นต้น ทั้งนี้ ความอุดมสมบูรณ์ของธาตุอาหารในดิน ถือได้ว่าเป็นหัวใจของเกษตรอินทรีย์ นอกจากจะช่วยป้องกันการกัดเซาะและการพังทลายของหน้าดินแล้ว หากนำอินทรียวัตถุต่างๆ มาปกคลุมหน้าดินอยู่เสมอ จะทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น ทำให้พืชเจริญเติบโตแข็งแรง มีความต้านทานต่อโรคและแมลง รวมทั้งให้ผลผลิตสูงอีกด้วย
การทำเกษตรอินทรีย์จะต้องหาสมดุลของการเพาะปลูกพืชที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการปลูกพืชร่วมหลายชนิดในเวลาเดียวกัน หรือเหลื่อมเวลากัน ตลอดจนการปลูกพืชหมุนเวียนต่างชนิดกัน รวมทั้งการเลี้ยงสัตว์ โดยเรียกการทำเกษตรที่หลากหลายนี้ว่า “เกษตรแบบผสมผสาน” เป็นการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า และยังเป็นการลดความเสี่ยงจากปัญหาโรคและแมลงศัตรูพืชระบาดอีกด้วย นอกจากนี้การไม่ใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชจะมีส่วนช่วยให้ศัตรูธรรมชาติสามารถแสดงบทบาทในการควบคุมศัตรูพืช ซึ่งเป็นการสร้างสมดุลนิเวศการเกษตรอีกวิธีหนึ่ง เพราะการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชจะทำลายศัตรูธรรมชาติในสัดส่วนที่มากกว่าศัตรูพืช ทำให้ศัตรูพืชกลับยิ่งระบาดรุนแรงมากขึ้นอีก
จากความสำคัญของเกษตรอินทรีย์ดังกล่าว กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) มุ่งดำเนินงานการเกษตรผ่าน ศูนย์เชี่ยวชาญเกษตรสร้างสรรค์ ที่มีความพร้อมและความเชี่ยวชาญด้านเกษตรอินทรีย์ มุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาการผลิตพืชด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ สร้างประโยชน์ทั้งเชิงสังคมและเชิงพาณิชย์ มีผลงานที่สามารถนำไปใช้ได้จริงเป็นรูปธรรม อาทิ การผลิตปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูงซึ่งมีประสิทธิภาพช่วยเพิ่มผลผลิต บำรุงต้น และเพิ่มความสมบูรณ์ให้ดิน นอกจากนี้วว. ยังให้ความสำคัญในการถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ให้แก่พี่น้องเกษตรกร วิสาหกิจชุมชนอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนของภาคการเกษตรไทย
ข้อมูลอ้างอิง
https://www.greennet.or.th
https://actorganic-cert.or.th
กองประชาสัมพันธ์
สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี