ในช่วงเกือบ 2 สัปดาห์ที่ไม่มีบอลระดับสโมสร หลายคนคง “แอบเหงา” พอสมควร เพราะแทบจะไม่ได้ดูฟุตบอลเตะเลย
มีโอกาสได้พักผ่อนเช่นเดียวกับแฟนบอล แต่ในฐานะนักข่าว,นักเขียน และผู้บรรยายฟุตบอล มันก็ต้องหาอะไรดูไปเรื่อยๆ กระทั่งนึกออกว่า ได้ดูภาพยนตร์ฟุตบอลเรื่องหนึ่งก่อนหน้านี้ และจัดการดูซ้ำอีกรอบ
นั่นคือเรื่อง Pelé (2021)
ชื่อนี้ไม่ต้องอธิบายอะไรเยอะจริงๆ
ภาพยนตร์สารคดีจะเน้นไปที่ประวัติการเริ่มต้นการเป็นนักฟุตบอลทีมชาติบราซิลที่ละเอียดของเปเล่ รวมไปถึงการฝึกซ่อมและเรียนรู้จากความสำเร็จของเขา
ดูเรื่องนี้สองรอบ มันน่าสนใจตรงที่เหตุการณ์ที่มันเกิดมาแล้วนานกว่า 60 ปี ทำไม่หลายอย่างมันเหมือนกับโลกปัจจุบันนี้จริงๆ..................
“เด็กๆ เดินมาแล้วขอจับที่หน้าของผม แล้วก็ดูที่มือของพวกเธอ และคิดว่า สีจากหน้าของผมตกบนมือของเธอหรือไม่”
คำพูดของ เปเล่ ประสบการณ์จากการเดินทางออกนอกแผ่นดินเกิดครั้งแรก จาก บราซิล ไปที่ สวีเดน เมื่อปี 1958
ผู้เล่าเรื่อง, ผู้ดำเนินเรื่อง คือพระเอกของงานนี้ นี่คือ นักฟุตบอลที่ดีที่สุดหรือเปล่า เราบอกไม่ได้ แต่นี่คือนักเตะที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของ “โลกฟุตบอล”
เอ๊ดสัน อารานเตส เดอ นาสซิเมนโต้ หรือที่โลกรู้จักในชื่อที่ตัวเขาไม่ชอบ
นั่นคือ “เปเล่”
ครอบครัวที่เรียกแทนเขาว่า “ดีโก้” ก่อนที่ทั่วโลกจะรู้จักในนามของ “เปเล่” นั่นคือชื่อที่เพื่อนในโรงเรียนใช้เรียกกองหน้าผู้นี้
ภาพยนต์เรื่องนี้บอกให้ทุกคนรู้จัก เปเล่ รู้จักประเทศบราซิล และได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ด้านการเมืองที่เข้ามาแทรกแซง การเมืองที่เข้ามาแทรกซึมในทุกวงการ
เปเล่ เกิดมาพร้อมกับช่วงเวลาที่โลกใบนี้กำลังมี “โทรทัศน์” และไม่ว่าจะเปิดไปทางช่องใด ก็จะเห็นนักเตะใส่เสื้อเหลืองถล่มประตูจนกลายเป็นเครื่องหมายการค้า
โลกได้รู้จักก ประเทศบราซิล ก็เพราะ เปเล่
โลกได้รู้จักว่า บราซิล มีเปเล่ ก่อนจะรู้จักกว่า บราซิล มี กาแฟ ด้วยซ้ำไป.............
เรื่องราวของ เปเล่ ถูกถ่ายทอดออกไปนับครั้งไม่ถ้วนโดยเฉพาะเมื่อปี 2016 ในชื่อว่า Pelé : Birth of a Legend ที่ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม
นักฟุตบอลแห่งตำนาน กับการยิงประตูมากที่สุดในโลก 1,281 ประตู จาก 1,363 เกม คือสถิติโลกที่บันทึกเอาไว้ในเกม “อย่างเป็นทางการ”
ในนามแห่งทีมชาติ เปเล่ ทำสถิติลงเล่น 92 นัด ซัดไป 77 ประตู
เป็นนักกีฬาคนเดียวที่ครองแชมป์ฟุตบอลโลกมากที่สุด 3 สมัยในปี 1958, 1962 และ 1970
เปเล่ แจ้งเกิดจากชัยชนะบนแผ่นดินสวีเดน กับแชมป์โลกสมัยแรก บนวัยเพียง 17 ปี 249 วัน ด้วยอายุน้อยที่สุดในโลก
ภาพที่เขาร่ำไห้ปรากฏออกไปทั่วโลก จนโฟกัสว่า เด็กคนนี้เป็นใคร
ทำไมถึงยิงประตูได้ยอดเยี่ยม เต็มเปี่ยมด้วยทักษะ และเยือกเย็นอย่างยิ่ง
พร้อมกับระเบิดประตูได้ถึง 6 ลูก โดยเฉพาะนัดชิงชนะเลิศยิงได้ 2 ลูก
การกระดกบอลข้ามหัวกองหลัง แล้วซัดผ่านนายประตูสวีเดน เข้าไปเสียบตาข่าย คือที่สุดของภาพแห่งความทรงจำ และจะมีภาพนี้อยู่เสมอในเทศกาลฟุตบอลโลก
จากเด็กหนุ่มที่ชีวิตไม่เคยโรยด้วยกลีบกุหลาบ ไม่มีเงินเรียน ต้องไปช่วยพ่อที่เป็นพนักงานทำความสะอาดห้องน้ำ วิธีการซ้อมฟุตบอลของเขาคือ ใช้ทุกสิ่งทุกอย่างที่สามารถเตะได้
ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ใช่ลูกฟุตบอลซะด้วย!!!
........เปเล่ อยากเป็นนักฟุตบอล ทั้งหมดทั้งมวลมาจากการที่ เปเล่ ในวัย 9 ขวบ เมื่อปี 1950 เขาได้เห็นน้ำตาของคุณพ่อเป็นครั้งแรกในชีวิต กับ “โศกนาฏกรรมทางฟุตบอล” ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
บราซิล พลิกล็อกแพ้ในนัดชิงดำให้กับ อุรุกวัย 1-2 ที่ชามอ่างยักษ์ “มาราคาน่า สเตเดี้ยม”
ในรอบไฟน่อล ที่ต้องแข่งแบบแบ่งกลุ่มพบกันหมด อุรุกวัยเกือบจะเอาตัวไม่รอดเป็นฝ่ายที่ไล่ตามตีเสมอ สเปน แบบสุดมันส์ 2-2 ส่วนนัดที่สองสามารถเฉือนเอาชนะ สวีเดน ไปแบบหวุดหวิด 3-2
ในเกมนัดสุดท้ายถือว่าเป็นนัดชิงอย่างแท้จริงเจ้าภาพ บราซิล ที่มี 4 คะแนนจากการเก็บชัยชนะมาได้ 2 นัดรวด (ชนะ สวีเดน 7-1, ชนะ สเปน 6-1) ส่วน อรุกวัยมีแค่ 3 แต้ม (เสมอ สเปน 2-2, ชนะสวีเดน 3-2) ทำให้ต้องชนะสถานเดียวเท่านั้น
เกมฟาดแข้งกันที่ เอสตาดิโอ โด มาราคาน่า ท่ามกลางแฟนบอลเฉียด 200,000 คน ทัพแซมบ้าได้ประตูออกนำก่อน แต่ทว่า อุรุกวัย มาทำสองประตูรวดจาก ฮวน อัลแบร์โต้ เคียฟิโน่ และอัลซิเดส กิกเกีย พลิกแซงเอาชนะ 2-1 คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกเป็นสมัยที่สอง ทำเอาแฟนบอลเจ้าภาพน้ำตาท่วม มาราคาน่า
จนเป็นที่มาของ Maracanazo หรือน้ำตาแห่งมาราคาน่า
ครั้งนั้น เปเล่ และพ่อของเขา “ดอนดินโญ่” ติดตามชมเกมผ่านทางโทรทัศน์ เพราะไม่มีเงินซื้อตั๋วเข้าไปชมเกม เนื่องจากครอบครัวที่ยากจน
เปเล่ บอกว่า เขาไม่เคยเห็นพ่อร้องไห้มาก่อน ไม่ว่าจะเป็นจากการทำงานที่หนัก บาดเจ็บจากฟุตบอลจนต้องเลิกเล่น และมาทำงานเป็นพนักงานทำความสะอาดที่โรงพยาบาล หรือกระทั่งต้องอดมื้อกินมื้อ
แต่พ่อก็ไม่เคยร้องไห้ให้ครอบครัวเห็น
แต่ในวันนั้น เปเล่ หรือ “ดีโก้” ได้เห็นพ่อร้องไห้ เมื่อทีมชาติบราซิลไม่ได้แชมป์โลก สมัยแรก
ทำให้เป็นแรงผลักดันให้เขาก้าวมาเป็นนักฟุตบอลอาชีพในกาลต่อมา........
เปเล่ ก้าวมาติดทีมชาติ นอกจากฝีเท้าดีแล้ว เขายังโชคดีที่รายล้อมไปด้วยสุดยอดขุนพลที่เคียงข้างเขา ทำให้ บราซิล จากเดิมที่เป็นทีมธรรมดา
กลายเป็นราชันลูกหนังโลก
ปี 1958 เขาเล่นเคียงข้างกับ ดีดี้, การ์รินช่า, มาริโอ ซากาโล่ และวาว่า
ปี 1962 เขาบาดเจ็บหนักตั้งแต่รอบแรก แต่ยังมี ดีดี้, การ์รินช่า, ซากาโล่ และวาว่า เคียงข้าง แถมยังมี ซิโต้ กับ อมาริลโด้
ปี 1970 เขาประสานพลังกับ ทอสเทา, ริเวลิโน่, แจร์ซินโญ่, เกอร์สัน และคาร์ลอส อัลแบร์โต้
4 สมัยในการเล่นฟุตบอลโลก เขายิงได้ทุกครั้ง รวมทั้งสิ้น 12 ประตู
ความอัจริยะของ เปเล่ นั่นคือ สามารถเล่นได้ทุกตำแหน่งในเกมรุก ทั้งที่รูปร่างไม่ได้ใหญ่โตอะไร สูงแค่ 173 เซนติเมตรแต่เทคตัวได้ดี และสามารถทำได้ทุกอย่างในการทำให้ทีมได้ประตู
ได้รับการยกย่องว่า “เป็นนักเตะที่ดีที่สุด” จากตำนานนักเตะต่างยุคต่างสมัยทั้ง เฟเรนซ์ ปุสกัส, โยฮัน ครัฟฟ์, จุสต์ ฟองแตง, บ็อบบี้ มัวร์, เซอร์บ็อบบี้ ชาร์ลตัน,
รวมไปถึงเพื่อนร่วมรุ่นที่เคียงบ่าเคียงไหล่กันมาแทบทุกคน
เปเล่ เป็นแรงบันดาลใจหลายๆ อย่าง จากการที่ฟุตบอลโลก 1970 ถ่ายทอดสดด้วยระบบภาพสีเป็นครั้งแรก เขาโด่งดังแบบสุดๆ และการวางตัวอันยอดเยี่ยม
ไม่แปลกที่นักเตะอย่างเขาจะกลายเป็น “เครื่องหมายการค้า” ในวงการลูกหนังโลก พร้อมกับเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนทั่วโลกอีกด้วย
ลูกบอลเทลสตาร์ 1970 เป็นลูกหนัง ที่คุ้นตา จนเป็นต้นแบบของการออกแบบลูกฟุตบอลระดับโลก ที่เราเรียกกันตามๆ กันมาว่า “บอลเปเล่” เพราะมันเกิดใน ยุคของ “ไข่มุกดำ” แห่งบราซิล ครองแชมป์โลก เป็นสมัยที่ 3 และต่อมาก็มี “บอลเปเล่” ในบ้านเราให้ฮิตกันเกร่อในยุคต่อๆ มา
“เทลสตาร์” ถูกตั้งชื่อให้เกียรติกับ “เทลสตาร์ 1” ดาวเทียมที่ถูกส่งขึ้นไป เมื่อ 10 กรกฎาคม 1962 โคจรรอบโลกเป็นวงรี โดยใช้การควบคุมการโคจรจากสถานีภาคพื้นดินที่อยู่บนโลก ดาวเทียมดวงนี้ถือว่าเป็นดาวเทียมดวงแรกของโลกที่ใช้ในการสื่อสารอย่างแท้จริง และใช้ส่งรายการโทรทัศน์รวมลงมาด้วย
นั่นก็เพราะว่า บอลโลก ปี 1970 คือครั้งแรกที่มีการถ่ายทอดสดผ่านทางโทรทัศน์
เปเล่ เป็นแรงบันดาลใจหลายอย่าง เพื่อนร่วมรุ่นยังมีคนชื่อจริงชื่อ “เปเล่” สมัยเรียน ปวช.
ยาทากันยุง ก็มียี่ห้อ เปเล่……………
ภาพยนตร์ที่น่าทึ่งเรื่องนี้ ไม่ได้เผยถึงอัตชีวประวัติของเปเล่ แต่มันได้ถ่ายทอดไปถึงเรื่องราวของฟุตบอลโลก จากยุคชิงถ้วยจูลส์ ริเมต์ มาจนถึงฟีฟ่าเวิลด์คัพ
ฟุตเทจภาพที่ทรงคุณค่าเหลือคณานับในเรื่องนี้ ทั้งการเก็บตัว,อินไซด์ของแฟนบอล, การแข่งขันบอลโลกสมัยที่หาไม่ได้ตามที่ต่างๆ
แตกต่างจากเรื่องแรกที่นำเสนอ เนื่องจากเรื่องเมื่อปี 2016 เป็นการนำนักแสดงมาสวมบทบาท แต่ครั้งนี้มา “เปเล่ตัวจริง”มาเล่า
เพราะเรื่องนี้ฟุตเทจภาพเป็นภาพจริง เหมือนกับนั่งดูไฮไลท์ฟุตบอลโลกที่หลายๆ ภาพไม่เคยเห็นเก่าก่อน
แค่การได้เห็น เปเล่ ในวัยกว่า 80 ปีมานั่งเล่า และนำเพื่อนๆ รุ่นเดียวกับที่เริ่มออกสตาร์ทอาชีพที่ซานโต๊ส ก็คุ้มค่าและละมุนอย่างที่สุดแล้ว
เป็นการไขคำตอบทั้งหมดกับคำว่า “แข้งทอง” นั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร
จุดกำเนิดการตีลังกายิง, การยิงครึ่งสนาม และการยิงที่สมควรเป็นประตูมากที่สุดแต่ไม่ได้ประตู เกิดขึ้นจากบุคคลคนนี้เพียงท่านเดียว
มีคุณค่าเกินกว่าแฟนบอลธรรมดาๆ จะมาล้อเลียนเรื่องการวิเคราะห์ของเขาในกาลต่อมา แบบเปรียบกันไม่ได้
มูลค่าของฟุตบอล, มูลค่าของนักฟุตบอล และฟุตบอลถูกหล่อหลอมมาจากเบ้าเดียวกันนั่นคือ เปเล่
สำคัญที่สุดก็คือ ภาพยนตร์ได้สะท้อนความรุนแรง และการกดขี่ทางการเมืองเกิดขึ้น มันส่งผลมาถึงยุคต่อมาที่ “คุณหมอยอดนักเตะ” โซคราเตส ที่แสดงออกมาทาง “ผ้าโพกศีรษะ” ทั้งในบอลโลก 1982 และ 1986
สุดท้ายก็ประหลาดใจอยู่เหมือนกันที่ว่า แท้ที่จริงแล้ว “เปเล่” มีชื่อที่ถูกเรียกมาตลอดว่า “ดีโก้” ซึ่งสอดคล้องกับ “คู่เปรียบ”
ตลอดกาลอย่าง ดีเอโก้ มาราโดน่า
เพียงแต่ มาราโดน่า ชัดเจนเหลือเกินกับการเลือก ฟิเดล คาสโตร จนเป็นเหตุให้เขา “เข้าเหลี่ยม” จนถูกอัปเปหิออกจากบอลโลก 1994
ทำความเข้าใจกันได้ว่า ทำไม เปเล่ ถึงต้องไปปรากฏตัวกับผู้นำเผด็จการ จนเพื่อนสนิทเข้าใจผิด แล้วทำไมถึงกล้าประกาศว่า “ไม่เลือกข้างใด”
คนอยู่ “ตรงกลาง” ไม่ได้มีอยู่แค่ในตำนานเท่านั้น
แต่มัน “มีอยู่จริง”
“เปเล่” คือหนึ่งในตัวอย่างที่เป็น “สังคมของคนที่อยากเป็นกลาง”
ไม่เลือกข้าง......บ้างก็ได้!!!!
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี