“ฟุตบอลไม่มีวันตาย” มันก็จริง แต่ไม่รู้ว่ามันจะจริงได้นานแค่ไหน
ทุกวันนี้ธุรกิจฟุตบอลไม่ได้ต่างจากธุรกิจอื่นๆ มันอาจจะ“ถึงทางตัน” ในอนาคตอันใกล้นี้ หากว่าโลกใบนี้ยังไม่สามารถพิชิต “โควิด-19” ผู้ไม่รับเชิญมาอยู่บนพิภพนี้มานานนับปี
ไวรัสร้ายกาจ ได้พรากหลายสิ่งหลายอย่าง แถมยังสะกดให้คนไม่เพียงแต่ต้องกลัวโรคแล้ว ยังต้องตกอยู่ในความหวาดระแวง อยู่อย่างวิตกกังวล และรู้สึกว่าบางครั้งบางขณะนี้ ชีวิตมันไม่ค่อยมีความสุขเลย
Football without fan is nothing ได้แสดงให้เห็นความหมายของมันอย่างเป็นจริงเป็นจัง เมื่อไม่มีแฟนบอลเข้าสู่สนาม ทุกอย่างกำลังเหมือนกับนับถอยหลัง เหมือนน้ำแข็งรอวันละลาย
มูลค่าของฟุตบอลเริ่มลดน้อยถอยลง และเริ่มที่จะก่อให้เกิดปัญหา กระทั่งทำให้เกิดเรื่องราว “ซูเปอร์ลีก” ขึ้นมาอย่างเป็นจริงเป็นจัง
นั่นก็เพราะ “เงินตัวเดียว”
กระดาษตราครุฑ ไม่ตายหายาก นี่คือเรื่องจริง เป็นสิ่งสะท้อนให้เราได้เห็นกันจากการเปิดตัวเลขต่างๆ ของทีมฟุตบอล หรือกระทั่งการเซ็นสัญญาสปอนเซอร์ในยุคปัจจุบัน ที่ “ลดลง” แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เจอกับเรื่องนี้ไปแล้ว
ซีซั่นหน้า ยูไนเต็ด จะคาดหน้าอกด้วยพันธมิตรใหม่เป็นลำดับที่ 6 ของสโมสร TeamViewer
เมื่อเทียบแล้วราคาได้ลดลงกว่าเดิมถึง 17 ล้านปอนด์เลยทีเดียว หากเป็นช่วงเวลาปกติ ดีลแบบนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
การโคจรมาพบกับ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล เอฟซี ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ วันอาทิตย์นี้ก็เช่นกัน ที่มูลค่าของฟุตบอลที่มีปัญหาอยู่แล้ว มันจะลดน้อยลงไปอีก
เป็นการเจอกันแบบ “ถูกที่” นั่นคือโปรแกรมได้ระบุเอาไว้ แต่ถือว่า “ผิดเวลา” เพราะความหวังและฟอร์มการเล่น ได้ตัดทอนความสำคัญของฟุตบอลคู่นี้ลงไป
ซ้ำร้ายมันเกิดในยุคที่พวกเขาต้องการเงิน โดยเฉพาะจากลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดที่จะได้รับพิเศษจาก “เปย์เปอร์วิว” หรือ “จ่ายเพื่อได้ดู” ในยุคที่ฟุตบอลกำลังมีปัญหา
นี่เป็นเกมแดงเดือดครั้งที่ 3 แล้วที่ไม่มีแฟนบอลเข้าสู่สนาม ทั้งสองทีมต้องขาดรายได้ตรงนี้อย่างน้อยๆ คือ 550 ล้านบาท ในวันแข่งขัน
พวกเขาเสียจากอะไร
เงินจากวันแข่งขัน หรือ แมทช์เดย์ ที่จะสะพัดในวันแข่ง ตัวเลขที่ชัดเจนก็คือ ฐานการเงินจากเมื่อ 2 ฤดูกาลก่อน พวกเขาได้รับเงินถึงนัดละกว่า 160 ล้านบาท แน่นอนว่า ทุกอย่างเติบโตขึ้นแต่กลับไม่ได้อะไรกลับมาเลย.......
ตีประเมินตรงนี้คือ 200 ล้านบาท
ปีนี้มีโอกาสเตะกันที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด ไปแล้ว 1 นัดในเกมเอฟเอ คัพ ตรงนี้หายไปหมดทั้งตั๋วเข้าชมการแข่งขัน, สินค้าของที่ระลึก, หนังสือ(ไม่ใช่สมุด)แมทช์เดย์ และอื่นๆ อีกจิปาถะโดยเฉพาะการเข้าไปซื้อของในเมกะสโตร์
ย้อนกลับไปที่แอนฟิลด์ การพบกันครั้งแรกของฤดูกาล ลิเวอร์พูล สูญเงินไป 150 ล้านบาท ด้วยเหตุผลเดียวกันกับยูไนเต็ด นั่นคือตั๋ว, สินค้าของที่ระลึก, หนังสือแมทช์เดย์ และการเข้าไปวนอยู่ในซูเปอร์สโตร์
ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด เรียกร้านค้าว่า เมกะสโตร์ ส่วนที่แอนฟิลด์ เรียก ซูเปอร์สโตร์
ต่อเนื่องด้วยเรื่องของ “โอกาส” และ “ความฝัน” ที่หลายคนสามารถทำได้ นั่นคือ เดินทางไปชมเกมถึงสนามแข่งขัน
แฟนบอลจากทั่วโลกที่คาดหวังไว้ในใจว่า “สักวัน” จะเดินทางไปชมการแข่งขันให้ได้ถึงสนามจริง มันคือฝันของคนดูฟุตบอลเกือบทุกคน
โอลด์ แทรฟฟอร์ด เป็นสถานที่ท่องเที่ยว หรือแลนด์มาร์คสำคัญที่ถูกบรรจุเอาไว้ในทริปเดินทางมานานนับสิบปี ขณะที่ แอนฟิลด์เจริญเดินตามธุรกิจนี้มาติดๆ และถูกบุ๊คให้ไปเที่ยวด้วยในทริปไม่น้อยกว่า 4 ปีแล้ว ที่กลายเป็น “แลนด์มาร์ค”
หลายคนทราบ....เงินในโลกใบนี้อยู่ที่ทวีปเอเชีย 70 เปอร์เซ็นต์เมื่อมันไม่ได้หมุนเวียนไปที่ต่างๆ ความฝืดเคืองย่อมจะเกิดขึ้นและที่สำคัญก็คือหนึ่งการกระทบกระเทือนครั้งสำคัญก็คือ ธุรกิจฟุตบอล
สำคัญก็คือ การค้าการขายของที่ระลึกนั้น ส่วนใหญ่แรงซื้อมาจากชาวเอเชียเรานี่แหละ
ตัวอย่างคือ แฟนบอลท้องถิ่น สนับสนุนตั๋วปี และซื้อเสื้อเต็มที่คือ ปีละตัว แต่คนเอเชีย ไม่ว่าจะออกรุ่นไหนมา.....กวาดเรียบ!
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดกับ“รายได้ที่หายไป” นานกว่า 1 ปีจากการระบาดของโรค เพราะรายได้จากการทัวร์สนาม หรือ “สเตเดี้ยม ทัวร์” หายไปไม่น้อยกว่าวันละ 1 ล้านบาท
การจัดทำแบบ “มือโปร” ให้มีเวลาท่องเที่ยวใน “เธียเตอร์ ออฟ ดรีม” 45 นาที และเป็นการ “จัดรอบ” เพื่อให้ทุกทริปที่ซื้อทัวร์สนามได้ “เข้ารอบ” อย่างกระชับฉับไว แต่ไม่เร็วจนน่าเกลียด คือ “ต้นแบบ” ของการทัวร์สนาม
จุดนี้ ลิเวอร์พูล ก็หายไปเช่นกัน
หลังจากทำปรับปรุง เมน สแตนด์ เป็นที่เรียบร้อย ลิเวอร์พูล ได้ทำการขายทริปทัวร์สนาม ในราคาที่ไม่ได้ด้อยไปกว่า แมนยูฯ เลย นั่นคือ “เกือบพัน” เพื่อให้แฟนบอลได้เข้าไปดื่มด่ำกับ “This is Anfield”
แรกทีเดียวให้เวลาจุใจกว่า 2 ชั่วโมง ก่อนจะปรับมาเหลือ 1 ชั่วโมง เพื่อความกระชับและลดขนาดการสะสมของคน พร้อมกับยั่วน้ำลายว่า หลังจากชมสนามแล้ว คุณยังต้องตีเหลือและเผื่อเวลาในการเข้าชมพิพิธภัณฑ์ที่ปรับปรุงได้อย่างสวยงามสมบูรณ์ตั้งแต่ปี 2019
มีการจัดทำร้านอาหารให้นั่งรับประทานในสโมสร รสชาติอาจจะดีกว่าเอาปากถูกำแพง แต่บรรยากาศมันได้ ยังไงแฟนบอลก็พร้อมจะจ่ายเข้าไปนั่งรับประทาน
ทั้งหมดนี้หายไปเลย
เราไม่ได้รวมเรื่องการขายของที่ระลึกของทั้งสองทีม ทั้งในช่วงของแมทช์เดย์เอง หรือกระทั่งวันปกติ เพราะแฟนบอลจากแดนไกลไม่ได้ไปด้วยตัวเอง อย่าไปหวังว่า คนพื้นที่จะซื้อเยอะ เพราะพวกนี้ผ่านทุกวัน แม้จะใม่ใช่ประเภทเสี่ยชมเสี่ยเฉยเสี่ยชา ก็มีซื้อบ้าง แต่รับรองว่า แรงซื้อสู้จีน, ฮ่องกง หรือ ไทยแลนด์ ไม่ได้แน่นอน
สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่ามือคลำ สิบมือคลำเมื่อคุณมีเงินในกระเป๋าด้วย ก็ยิ่งแล้วใหญ่.....ซื้อไปเถอะนานๆ ไปที ซื้อไปเถอะบ้านเราไม่มีนะ.......
เสื้อไซส์ L เคยราพณาสูร ทั้งซูเปอร์สโตร์แอนฟิลด์ เมื่อเดือนตุลาคม 2018 เพราะคนเอเชียมาแล้ว เป็นอาทิ!!!!!
เงินของฟุตบอลหายไปหมด ไม่เพียงแค่สองทีมนี้ แต่ที่ยกตัวอย่างก็คือ สองทีมนี้ได้ก้าวผ่านกับคำว่า “สนามฟุตบอล” ไปแล้ว
โอลด์ แทรฟฟอร์ด กับ แอนฟิลด์ คือแลนด์มาร์คสำคัญในการท่องเที่ยวของเกาะอังกฤษ
“มูลค่าที่หายไป” ด้านบนคือ มูลค่าคร่าวๆ ของรายรับในวันแข่ง และตลอดสัปดาห์ในช่วงที่ไม่มีบอล สองแห่งนี้เปิดสเตเดี้ยมทัวร์แบบต้องต่อคิว ทีนี้ก็จะเหลือแต่คนในเมือง ไม่มีแรงซื้อไปเสริมจากการเป็น ไพรด์ ออฟ สิงคโปร์, ไพรด์ ออฟ ไชน่า หรือ ไพรด์ ออฟ ไทยแลนด์
ธุรกิจมลายสิ้นโดยเฉพาะการท่องเที่ยว ที่ส่งผลตั้งแต่การทำวีซ่า 7,500 บาท เพื่อขอสิทธิ์การเข้าไปเหยียบแผ่นดิน, ค่าตั๋วเครื่องบิน รวมไปถึงค่าทริปทัวร์, ค่าไกด์, ค่าคนขับ, ค่าอาหาร
ไล่เลียงมาถึงสินค้าของที่ระลึกหน้าสนาม
ในวันแข่งขัน ผ้าพันคอแมทช์เดย์ หรือ ฮาล์ฟ แอนด์ ฮาล์ฟ ตอนนี้ลืมไปได้เลย เพราะคนที่นั่นไม่ซื้อ เนื่องจากไม่ต้องการให้ชื่อหรือโลโก้ทีมอื่นมาปนเปื้อนผ้าพันคอของตัวเอง มีแต่คนจากแดนไกลที่ “ต้องซื้อ” เพื่อเป็นของที่ระลึกในการเดินทาง
เสื้อแฟนซีน หรือ แฟนเมด ที่จัดทำโดยพ่อค้าประจำเมือง หมวก, ธงที่ไม่มีขายในเมกะ หรือ ซูเปอร์สโตร์ เดือดร้อนไปหมดกระทั่งไส้กรอก, พิซซ่า, ฟิช แอนด์ ชิพ หน้าสนาม
วงจรรอบสนามฟุตบอลไม่ได้เกิดขึ้นเลย โดยเฉพาะวันที่จะต้องคึกคักแบบสุดๆ อย่าง แดงเดือด
เอาเข้าจริง นับถึงแมทช์ที่ต้องดวลกัน 3 ครั้งในฤดูกาลนี้ วงจรทั้งหมดของเงินที่หายไป ดูตรงทรงทั้งระบบแล้วไม่น่าจะน้อยกว่า 1,000 ล้านบาท เลยทีเดียว
สัญญาณที่ดีตอนนี้ก็คือ แฟนบอลเข้าสนามได้แล้วในศึกลีกคัพนัดชิงชนะเลิศ แต่นั่นคือหนึ่งในโครงการนำร่องของรัฐบาล ที่วางระบบและโครงการเอาไว้ในชีวิตช่วงโควิด
แต่นั่นล่ะ กว่าที่ฟุตบอลจะกลับมา “เหมือนเดิม” ได้ ยังไม่ใช่ระยะเวลาอันใกล้นี้แน่ๆ เพราะจะต้องมาจากอีกหลายองค์ประกอบ โดยเฉพาะเมื่อแฟนบอลกลับเข้าสนามได้ นั่นคือแรงสนับสนุนตรงจากแฟนฟุตบอลพื้นฐานในท้องถิ่น นั่นซัพพอร์เตอร์ตัวจริงเสียงจริงแล้ว
ก็ต้องรอแฟนบอลจากแดนไกลเข้าไปเสริมกำลังทรัพย์อัดเข้าไปทั้งตรงและอ้อมให้กับสโมสรอีกด้วย
เสียดายที่แดงเดือดปีนี้ได้ชนกันถึง 3 เกม แต่กลับได้มูลค่าที่น้อยนิดเมื่อเทียบกับชื่อชั้น
เสียดายกว่าตรงที่แดงเดือดหนนี้ แทบจะไม่ได้มีอะไรให้พูดถึงมาก เพราะทั้งสองทีมแทบจะไม่ได้ลุ้นอะไร โดยเฉพาะตำแหน่งแชมป์ที่ตกอยู่ใต้เงาของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้
ทีมที่แฟนบอลลิเวอร์พูล ไม่ชอบ เพราะเป็นคู่ปรับโดยตรงแห่งยุค ที่ยืนซัดกัน 3 ปี
ทีมที่แฟนบอลแมนฯยูไนเต็ด ไม่ชอบ เพราะเป็นคู่ปรับร่วมเมือง ที่น่ารำคาญมากช่วง 10 ปีหลัง
เรื่องโควตามันพอจะพูดได้ แต่มันก็ไม่ได้เต็มปากเต็มคำอะไร เพราะใหญ่ขนาดคับเป้ามันต้องล่าแชมป์ มันจะถึงสะใจลำไส้ใหญ่กว่านี้
คงจะเรื่องของศักดิ์และศรี นั่นแหล่ะที่เอามาขยี้กันได้
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี