การประท้วงอย่างดุเดือดเลือดพล่านของแฟนบอล “เร้ด เดวิลล์” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำให้เกมวันแดงเดือด กับ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล เอฟซี ต้องเลื่อนออกไป
ประเด็นหลักมาจาก การไม่พอใจผู้บริหารนั่นคือ ตระกูลเกลเซอร์
เรื่องปัจจุบันทุกท่านคงทราบดี นั่นคือ จะนำทีมไปจัดตั้งลีกใหม่แบบไม่สนใจรากเหง้า หรือระบบพีระมิดของฟุตบอล อย่าง ซูเปอร์ลีก
แต่ความจริงอันเจ็บปวดนี้ ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นกับแฟนบอลผีแดง แต่มันเกิดขึ้นและเกาะกินใจมานานเกือบ 20 ปีเข้าให้แล้ว
จากตำนาน “พรานล่าหุ้นรุ่นแรก” ของ มัลคอล์ม เกลเซอร์ อภิมหาเศรษฐีจากสหรัฐ ผู้ล่วงลับ
เกิดความขัดแย้งขั้นรุนแรง มีการประท้วงของแฟนบอล “ปีศาจแดง” ที่ไม่ต้องการให้ มัลคอล์ม เกลเซอร์ อภิมหาเศรษฐีใหญ่จากอเมริกา ครอบครองทีมแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่สุดท้ายต้านไม่อยู่
กรณีนั้นเกิดขึ้นใน ค.ศ.2002 หรือเมื่อ 19 ปีที่แล้ว
เป็นกรณีศึกษาตลอดกาลแห่งวงการฟุตบอล
ย้อนกลับไปในปี พ.ศ.2545 หรือ ปี ค.ศ.2002 เกลเซอร์ ขยับเข้ามายังวงการฟุตบอลอัที่กำลัง “ฮอตฮิต” กับการไล่ซื้อหุ้น
ในช่วงที่เข้ามาซื้อ “ปีศาจแดง” ใหม่ ๆ เกลเซอร์ คือมหาเศรษฐีติดอันดับที่ 244 ของโลกตามการจัดอันดับของนิตยสาร Forbes เมื่อปี พ.ศ. 2546 มีสินทรัพย์มูลค่าเกินกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์อเมริกัน
เกลเซอร์ กว้านซื้อหุ้นของแมนฯยูไนเต็ด โดยเฉพาะไตรมาสหลังของปี 2546 จากอัตราส่วนการถือหุ้น 3.17%ในเดือนกันยายน
ไต่ระดับสู่ 14.30% ของจำนวนหุ้นรวมเมื่อสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2546
เวลานั้น คนที่ถือหุ้นมากที่สุดคือ คูบิค เอ็กซ์เพรสชั่น ที่มี 2 มหาเศรษฐีชาวไอริชเป็นเจ้าของนั่นก็คือ จอห์น แม็คเนียร์ และ เจ.พี. แม็คมานัส
ในช่วงปลายปี 2546 แฟนบอลแมนยูฯ เริ่มมีปฏิกิริยาต่อต้าน แม็คเนียร์ กับ แม็คมานัส เพราะคาดกันว่า คูบิคฯของเขา จะเป็นผู้มีโอกาสมากที่สุด ในการรวบ แมนฯยูไนเต็ด เข้าครอบครอง
แต่ผิดคาดเต็มๆ
เพราะในเดือนเมษายน ปี 2547 คูบิค เอ็กซ์เพรสชั่น นิ่งสนิท ไม่คิดซื้อหุ้นอีกต่อไป แต่ในทางกลับกัน เกลเซอร์ กลับซื้อต่อถึง 4.1 ล้านหุ้น ภายในระยะเวลาแค่เดือนเดียว
จากนั้นในเดือนมิถุนยายน ซื้ออีกถึง 2.41 ล้านหุ้น ส่งผลให้ เกลเซอร์ มีหุ้นถึง 50.27 ล้านหุ้น คิดเป็น 19.2 เปอร์เซ็นต์
กฎหมายเมืองผู้ดี ระบุว่า หากจะเป็นเจ้าของได้ครอบครองกิจการ ต้องถือหุ้นเกินกว่า 30 เปอร์เซ็นต์
ความพยายามของ เกลเซอร์ ยังไม่หยุด แม้เขาจะถูก คูบิคฯ ล้มโต๊ะการเจรจาในการขอซื้อหุ้น ทำให้เปลี่ยนเป้าไปซื้อในตลาด ขยับการถือหุ้นมาเป็น 28.11 เปอร์เซ็นต์ในเดือนตุลาคม
เมื่อเหตุการณ์มาถึงขนาดนั้น ทำให้ บอร์ดบริหารของ แมนฯยูไนเต็ด เริ่มไม่ไว้วางใจ แม้ว่า เกลเซอร์ กำลังจะเข้ามาคุยเรื่องการซื้อสโมสร
เรื่องของเรื่องก็คือ เงินที่มาซื้อหุ้นของแมนฯยูไนเต็ด เป็นเงินของ “เจ.พี.มอร์เกน” ซึ่งเป็นผู้ให้บริการด้านการเงินการธนาคาร การลงทุน และการบริหารทรัพย์สิน ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
ประเด็นก็คือ แมนฯยูไนเต็ด ไม่แน่ใจว่า เกลเซอร์ ต้องการครอบกิจการอย่างเป็นมิตร หรืออย่างเป็นปรปักษ์ ทำให้ เจพี มอร์แกน ไม่ยอมเจรจากับ เกลเซอร์
จนมาถึงเดือนพฤศจิกายน 2547เกลเซอร์ ในฐานะผู้ถือหุ้น 28.11 เปอร์เซ็นต์ ได้ขัดขวางการแต่งตั้งบอร์ดบริหารของแมนฯยูไนเต็ด
แม้จะทำได้สำเร็จ แต่ เกลเซอร์ ต้องเสียพันธมิตรชั้นดีอย่าง เจพี มอร์แกน รวมไปถึง บรันสวิค ก็ยกเลิกการเป็นที่ปรึกษาด้านประชาสัมพันธ์ แต่ก็ยังมี ดอยช์ แบงก์ ที่ให้การช่วยเหลือ
ประเด็นดังกล่าวลุกลามใหญ่โตทำให้ แฟนบอลแมนฯยูไนเต็ด หลาย ๆ กลุ่ม อาทิ Shareholders United และ Independent Manchester United Supporters’ Association (IMUSA) ออกมาต่อต้าน
รวมไปถึง เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กุนซือในสมัยนั้น ก็ไม่พอใจเช่นกัน
เหตุการณ์ตึงเครียดมากยิ่งขึ้น จนถึงวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2548 เกลเซอร์ สามารถครอบครองหุ้นได้เกินร้อยละ 70 หลังจากบรรลุข้อตกลงซื้อหุ้นของ แม็คเนียร์ และแม็คมานัส ที่ถืออยู่28.7 เปอร์เซ็นต์ รวมไปถึงซื้อจาก แฮร์รี่ ด็อบสัน ผู้ถือหุ้นอันดับ 3 ของทีม ทำให้ เกลเซอร์ ถือหุ้นเกิน 75 เปอร์เซ็นต์ทันที
มันสร้างความไม่พอใจจนมีการประท้วงแ ละขู่เอาชีวิตของ เกลเซอร์จากแฟนฟุตบอล พร้อมกับทำให้แฟนบอลออกไปตั้งทีมใหม่ชื่อว่า FC united of Manchester ในวันที่ 14 มิถุนายน 2548
มาในวันที่ 22 มิถุนายน เกลเซอร์ ได้ปฏิบัติการนำ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ออกจากตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนได้สำเร็จ จากนั้นอีก 8 วัน เขากวาดหุ้นมาครองได้ถึง 98 เปอร์เซ็นต์
เขาได้แต่งตั้งลูกชายสามคนของเขา โจเอล, อัฟราม และไบรอัน เข้าในคณะกรรมการบริหารทันที
แม้ว่าจะถูกถล่มเละจากแฟนบอล แต่ต้องยอมรับว่า เกลเซอร์ เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมาก ในด้านการหาโอกาสการลงทุนและการตลาด โดยเฉพาะการหาพันธมิตรทางการตลาดที่ยอดเยี่ยมแบบหาตัวจับยากมาก
เป็นการเดินเกมนานกว่า 2 ปีเพื่อครอบครอง จุดนี้เป็นจุดที่น่าศึกษา และน่าเกรงขามที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ รวมไปถึงลูกหนังโลกสืบไป
สิ่งที่น่าติดตามก็คือ เป็นเรื่องจริงหรือลวงโลก ตรงที่ว่า เกลเซอร์ สร้างหนี้ให้กับสโมสรเอาไว้อย่างมากมาย เพราะมีข่าวปูดออกมาว่า มีการนำเงินของทีมไปใช้หนี้เฉลี่ยแล้ววันละถึง 250,000 ปอนด์ หรือประมาณ 12.5 ล้านบาทเลยทีเดียว
ตอนนี้ มัลคอล์ม เกลเซอร์ ก็เสียชีวิตไปแล้ว 7 ปี และเมื่อคนต้นเรื่องไม่อยู่ กลายเป็นว่า ตระกูลเกลเซอร์โดนตำหนิอย่างมาก ที่ดูเหมือนกับว่า “ไม่จริงจัง” กับการทำทีม
แต่กลับไป “จริงจัง” กับการดูดเงินจากสโมสร
ดังนั้นการประท้วงครั้งล่าสุด แฟนบอลเลือกใช้”เกมใหญ่”มาเป็น”ตัวประกัน”แสดงให้เห็นพลังกันทั้งโลก กับ 19 ปีที่เดินเข้ามา และ 16 ปีแห่งความคั่งแค้น
จะมองในแง่ไหนก็อยู่ที่ใจคน มีทั้งบวกและลบในสถานการณ์นี้ บ้างก็มองว่า”ถูกใจ” หรือจะก็มองว่า”ล้ำเส้น” ก็ไม่เป็นไร
มันอยู่ที่ความเข้าใจ และความเข้าถึงมากกว่า........
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี